พาเที่ยวญี่ปุ่น7 : เดินเล่นย่านชินจูกุ Shinjuku

ต่อจาก พาเที่ยวญี่ปุ่น6 : ขอพรจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หมู่บ้าน Oshino-Hakkai

ค้างรีวิวญี่ปุ่นมาสองปีกว่า OMG  >_< บางข้อมูลก็ลืมๆ ไปบ้างแล้ว แต่ยังไงก็จะรีวิวต่อให้เสร็จค่ะ ข้อมูลในโพสนี้เป็นข้อมูลเมื่อปี 2553 เนื้อหาสาระอาจจะไม่ทันสมัยและคนรีวิวก็ลืมๆ ข้อมูลไปบ้างแล้ว ถ้าผิดพลาดอะไรต้องขออภัยด้วยค่ะ ยังไงเข้ามาดูแล้ว ก็ดูรูปเพลินๆ แล้วกันนะคะ

จากตอนที่แล้วเราไปเที่ยวที่หมู่บ้าน Oshino-Hakkai หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จเราก็เดินทางต่อ จุดหมายของวันนี้คือย่านชินจูกุ รถจะมาส่งเราที่สถานีรถไฟ เพื่อให้เราต่อรถไฟ Shinkansen และ JR Line เข้าโตเกียว โปรแกรมวันนี้จะจบที่การเดินเที่ยวย่านชินจูกุ ย่านช้อปปิ้งที่สำคัญอีกที่หนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งเหมาะกับวัยของพวกเรามาก 555 และพักค้างคืนใกล้ๆ ย่านนั้น ตามมาเดินเที่ยวชินจูกุกันเลยค่ะ

วิวระหว่างทาง ภูเขาเขียวชอุ่ม

 

เหมือนเป็นที่ปลูกผัก

 รอบๆ มีความเจริญ แต่ในบางพื้นที่ก็ยังปลูกผัก

วิวข้างทาง

เรามาถึงสถานีรถไฟประมาณสามโมงกว่าๆ ที่สถานีรถไฟชั้นบนจะเป็นร้านค้าและร้านอาหารต่างๆ วันที่เราไปเจอแม่ๆ ญี่ปุ่นที่มีลูกเล็กๆ เยอะมาก ชอบที่อุ้มเด็กของเขา(เรียกว่าอะไรหว่า -_-a ) เหมือนสะพายเป้แบกลูกไว้ข้างหน้า แม่ยังสามารถที่จะปล่อยมือที่จะหยิบจับอะไรได้บ้าง

ที่จำหน่ายตั๋ว เราซื้อตั๋ว Shinkansen กับ JR Line พร้อมกัน

ตั๋วที่ได้มาจะเป็นตั๋ว 2 ใบ ใบแรก 840 เยน ใบที่สอง 5,700 เยน แพงนะ! คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 2,000 บาท โอ้ว.. ตั๋วเป็นกระดาษเวลาเข้าสถานีก็เสียบบัตรเข้าไปทั้งสองแผ่น บัตรก็จะเด้งออกมาเหมือนขึ้น BTS บ้านเราแหละ พอตอนออกจากสถานีถ้าใบไหนใช้เสร็จแล้วเครื่องก็จะเก็บไว้และจะคืนมาแค่ใบที่เหลือ

ภายในสถานี ชิน-โยโกฮามา

ป้ายบอกเวลา

ขึ้นมารอรถไฟด้านบน ชานชลาจะไม่เปิดโล่งเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา ถ้ารถไฟยังไม่มาที่กั้นก็จะยังไม่เปิด

ยืนรอบริเวณนี้ มีเส้นตีให้ยืนเป็นแถว

มาแล้วรถไฟหัวกระสุน หรือ bullet train เป็นรถไฟความเร็วสูงวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 200 - 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เราขึ้นมาลงสถานีหน้า เหมือนจะนั่งไปแค่สถานีเดียว ภายในรถไฟที่นั่งจะเป็นแบบในภาพ

 หมายเลขที่นั่งจะอยู่ด้านข้างด้านบน

ด้านหลังพนักเก้าอี้ นั่งได้แป๊บเดียวก็ถึงสถานีที่เราจะลง เราจะลงไปต่อ JR Line

ลงจากชินคันเซ็นเราต้องไปขึ้น JR Lines ต่อ มีป้ายบอกทางเป็นระยะ

 เมื่อออกจากสถานี บัตรอีกใบจะถูกเก็บไป เครื่องจะคืนบัตรมาให้ใบเดียว มีปั๊มเวลาและเจาะรูด้วย

 เดินออกมาเพื่อมาต่อ JR Lines

แวะเข้าห้องน้ำในสถานี เป็นระบบอัตโนมัติ พอทำธุระเสร็จแล้วเราลุกออกมา จะทำการกดน้ำชำระอัตโนมัติ

คนเยอะพอสมควร

 วิวบนสถานีรถไฟ

ด้านในคล้ายรถไฟฟ้าบ้านเรา คนเยอะเหมือนกัน ก็ยืนกันไปตามระเบียบ

ถึงจุดหมายปลายทางสถานีชินจูกุ สถานีรถไฟที่นี่ใหญ่มากและผู้คนพลุกพล่าน มีทางออกหลายทาง

ออกจากสถานีรถไฟเราต้องเดินต่ออีกไกลพอสมควร ไกด์จะพาเราไปที่จุดนัดหมายก่อน กำหนดเวลานัดพบ แล้วจึงปล่อยให้เดินตามอัธยาศัย อากาศเย็นสบาย ไม่ถึงกับหนาว

Takashimaya ตึก Time Square ตรงนี้เป็นห้างหรูที่ขายพวกของแบนด์เนมต่างๆ

เดินลงบันได จะเห็นว่าย่านนี้ผู้คนคึกคักทีเดียว

มองย้อนกลับไปด้านหลังบันไดที่เราเดินลงมา เป็นตึก LUMINE เป็นแหล่งที่ขายพวกเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าแฟชั่น อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟชินจูกุเลย เดินออกมาไม่ไกลก็เจอ

มาเที่ยวครั้งแรก อะไรๆ ก็ดูตื่นเต้นไปหมด เจออะไรก็ถ่ายๆๆ

ระหว่างเส้นทางที่เดิน ก็ดูๆ ไว้ เพราะเมื่อถึงที่นัดพบ เราจะเดินย้อนกลับมาเดินเที่ยวแถวๆ นี้กัน

เริ่มจะเข้าสู่ฤดูหนาวกันแล้ว เสื้อผ้าก็จะแนวๆ รับลมหนาว

ตรงนี้จะเป็นบริเวณสูบบุหรี่ มีที่ให้สูบเป็นที่เป็นทาง

Logo ตึกนั้นน่ารักดี ^_^

คึกคักสมกับเป็นย่านช้อปปิ้ง

 ด้านขวาจะเป็นตึก Bic Camera เป็นห้างขายกล้องที่ใหญ่มาก

 มีทุเรียนขายด้วย 5,000 เยน พันกว่าบาท >_<

หลังจากที่ถึงจุดนัดพบเราก็แยกย้ายกันเดินเที่ยว

ช่วงเย็น อากาศเย็นๆ สบาย คนที่นี่ส่วนใหญ่จะใส่เสื้อผ้าสีขาวดำ เสื้อผ้าสีๆ มีให้เห็นบ้างแต่น้อย

ในชินจูกุก็จะมีหลายย่าน ย่านที่เป็นของแฟชั่น ห้างแบรนด์ ย่านอิเล็กทรอนิกส์ ย่านบันเทิงเริงอารมณ์

 จริงๆ ก็ไม่ได้ช้อปปิ้งอะไรกันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเดินเล่นสำรวจห้างร้านต่างๆ

 ร้าน Ginzo อยู่ตรงหัวมุมเลย เป็นร้านที่ขายของแบรนด์เนมมือสอง ทั้งขายและรับซื้อ

ร้านนี้จะคล้ายๆ ร้านวัตสัน ขายพวกเครื่องสำอาง ของใช้ต่างๆ เครื่องสำอางแบรนด์ญี่ปุ่นพวก kenebo Kose เข้าไปซื้อร้านนี้ได้เลย

ร้านขายของเล่นผู้ใหญ่ ก็จะเป็นพวก sex toy ต่างๆ มีหลายประเภท ทีแรกสะดุดร้านนี้เพราะหน้าร้านเปิดคาราโอเกะเพลงไทย >_< สงสัยว่าคนไทยจะมาอุดหนุนบ่อย ทีแรกยืนลังเลว่าจะเข้าดีไหม แต่ไหนๆ มาแล้วก็ลองเข้าไปดูให้เห็นกับตาสักหน่อย

 ในร้านเข้าไปจะมี 3 ชั้นใต้ดิน ชั้นบน ในแต่ละชั้นสินค้าก็จะต่างกันออกไป ชั้นปกติที่เราเดินเข้าไป ก็จะเป็นพวกของที่ไม่หวือหวามากนักแต่ละชั้นมีอะไรบ้างไม่อธิบายละกัน โดยรวมก็มี อุปกรณ์สำหรับผู้ชาย อุปกรณ์สำหรับผู้หญิง อุปกรณ์สำหรับเพศที่ 3 แผ่นดีวีดีหนังปลุกใจ เสื้อผ้าที่ใส่เพื่อความตื่นเต้น โซ่ แส้ กุญแจมือ ฯลฯ >_< ไปกันหลายคนเลยกล้าที่จะเข้าไปดู เพิ่งเห็นว่ามีรูปซ้ำด้วย จริงๆ ถ่ายมาเยอะมากกว่านี้ แต่ลงแค่นี้พอ

 ในร้านก็เป็นคาราโอเกะเพลงไทย >_<

หลังจากตื่นตาตื่นใจกับของเล่น ก็มาเดินกันต่อ

 ร้าน Bic Camera ที่เห็นเมื่อช่วงเย็น

 ยิ่งมืดยิ่งมีสีสัน

 เดินมาแถวนี้จะเป็นตึก Mitsukoshi เป็นห้าง ชั้น 1 เป็นร้าน Louis Vuitton ร้านใหญ่ทีเดียว

ตึก 0101 ทีแรกนึกว่าตึก OIOI (แต่อักษรเหมือนโอไอโอไอนะ) ชื่อว่าตึกมารุอิ เลข 0 อ่านว่า มารุ เลข 1 อ่านว่า อิจิ รวมกันเป็น มารุอิ มีหลายตึกเลย เป็นพวกเสื้อผ้าแฟชั่น ทั้งชาย หญิง ครอสเพลย์ต่างๆ ของแบนด์เนม

รถคันเล็กๆ น่ารักดี

รถคันเล็กๆ น่ารักดี

 ยิ่งค่ำคนยิ่งเยอะ เพราะคนเลิกงาน

 ของต้อนรับวันฮาโลวีน ไหมหว่า -_-a

คนเยอะมากเลย

 เดินดูของต่อ

มุมนี้ดูอลังการดี เห็นรถไฟวิ่งผ่านด้วย คนในชินจูกุ ก็ยังนิยมขี่จักรยานกันนะ

 เห็นได้จากคนขี่จักรยานบนถนน และจักรยานที่จอดอยู่มากมาย

เราเดินกลับมาแถวๆ ที่นัดพบ เพื่อเราจะมาช้อปปิ้งกันต่อที่ร้าน 100 เยน ที่ตึก Pepe

 ตึก PePe มีหลายชั้นมีร้าน 100 เยน และมีร้าน UNIQLO ด้วย แต่ตอนนั้น(ปี 2553) ยังไม่รู้จักเสื้อผ้า UNIQLO หรอกนะ เลยไม่ได้สนใจ

 ช้อปปิ้งเสร็จก็เดินออกมาดูแถวๆ นั้น มีร้านปาจิงโกะด้วย

จากนั้นเรารวมตัวกันเสร็จก็มุ่นหน้าไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ตึก HumaxPavillion ต้องเดินผ่านย่านคาบูจิโกะ ซึ่งถือว่าเป็นย่านโลกีย์ก็ว่าได้ ร้านนี้ก็คงไม่ต้องเดาว่าเป็นร้านอะไร แต่จะไม่ออกมานั่งโจ่งแจ้งอย่างบ้านเรา ส่วนใหญ่จะอยู่ชั้นใต้ดิน

บนถนนก็จะมีหนุ่มๆ หน้าตาดี หุ่นดี แต่งตัวดี ยืนอยู่กลางถนน เผื่อใครเหงาอยากมีเพื่อนควงก็เข้าไปติดต่อได้

แล้วเราก็มาถึงร้านที่จะเป็นมื้อเย็นของเรา อยู่ที่ชั้น 8 ตึก HumaxPavillion ถ้ามากับทัวร์แล้วมาเดินชินจูกุ คงได้มาร้านนี้กัน เพราะเป็นร้านที่ทัวร์ลง ตอนมาถึงด้านหน้าตึกยังเจอคนไทยอีก Group อยู่ด้านล่าง ร้านนี้คือร้าน Mo Mo Paradise เป็นบุฟเฟต์ชาบู ตอนที่ไปตอนนั้นบอกตามตรง ไม่รู้จักร้านโมโมพาราไดซ์นะ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นมีมาเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์แล้วแต่เราไม่รู้จัก พอทำรูปจะรีวิวก็ อ้าว! ร้านที่เราไปกินมามันร้าน Mo Mo Paradise นี่ >_< ตอนนั้นที่เราไปปี 2553 มันมาเปิดที่เมืองไทยตั้งแต่ปี 2551 ตั้ง 2 ปีแต่ไม่รู้จัก แถมไม่รู้ด้วยว่าเคยไปกินที่ญี่ปุ่นมาแล้ว 555

บรรยากาศร้านจะมืดๆ สลัวๆ หน่อย ที่นั่งมีหลายโซน ถ้าคนเยอะจะมี watting room ให้นั่งคอย แต่วันที่เราไปคนไม่ค่อยเยอะ พนักงานที่นี่จะเป็นวัยรุ่น และส่วนใหญ่หน้าตาดี อิอิ

กินแบบชาบูชาบู เนื้อเขาสไลด์จนบางและอร่อยมาก นุ่ม.. ผักไม่เยอะเหมือนโมโม่บ้านเรานะ

อุปกรณ์บนโต๊ะ

น้ำจิ้ม

 จุ่มๆ ส่ายๆ จิ้มน้ำจิ้ม อึ้ม.. เนื้อนุ่มมากๆ

หลังๆ รอจุ่มไม่ไหว ต้มเลยละกัน ข้าวญี่ปุ่นเม็ดอ้วนๆ เหนียวๆ กับเนื้อบางๆ นุ่มๆ

เดินกลับไปขึ้นรถ

นัดให้รถมารับตรงนี้ ที่พักต้องเดินทางต่อไปอีกนิด แต่ไม่ไกลจากย่านนี้เท่าไหร่

 โรงแรมที่พัก the sunshine city prince hotel ทัวร์ไทยมาลงเยอะมาก เจอแต่คนไทย

ภายในห้องพัก ห้องพักเล็กๆ ตามสไตล์ญี่ปุ่น ห้องไม่กว้าง พอดีเตียง มีทีเดินปลายเตียงนิดหน่อย

 โต๊ะ ทีวี ตู้เย็น ดรายเป่าผม

 ตู้เสื้อผ้า ตู้เซพ

 ภายในห้องน้ำ

 ผ้าเช็ดตัวและเช็ดศรีษะ

 สั่งขนมเอาไว้ วันนี้เขามาส่งแล้ว

หลังจากเข้าที่พักเรียบร้อย ก็ออกมาเดินข้างนอกกัน เดินจากโรงแรมไม่ไกลมาก ก็เข้าย่านชุมชน

 ร้านเกม

 เหมือนที่เล่นเกมตามห้างบ้านเรา แต่ที่นี่ส่วนใหญ่วัยรุ่นและผู้ใหญ่คนทำงานมาเล่น มีเกมให้เลือกเล่นหลากหลาย

มีตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์หลายแบบ เลยลองไปถ่ายกันดู พอถ่ายเสร็จสามารถตกแต่ง เขียนข้อความก่อนปริ้นท์ได้ ถ่ายออกมาแล้วแบ๊วมาก สวยดี ^_^

บรรยากาศในย่านนั้น

วิวยามเช้า ห้องที่เราพักอยู่ชั้น 19

 วิวด้านซ้ายและขวา

อาหารเช้าที่โรงแรม

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จเราก็ออกเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ 2 พิพิธภัณฑ์ ซึ่งน่าสนใจมากๆ ติดตามต่อตอนหน้านะคะ ^_^

พาเที่ยวญี่ปุ่นตอนอื่นๆ

 

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม Blog ของ bombik ค่ะ แล้วแวะมาอีกนะคะ ^_^

1 comment on "พาเที่ยวญี่ปุ่น7 : เดินเล่นย่านชินจูกุ Shinjuku"

Anonymous's picture
Anonymous (visitor) said on Thu, 10/16/2014 - 13:28:

ไปกับทัวร์ที่ไหนหรอคะ

Powered by Drupal, an open source content management system

Copyright © 2009 bombik - Theme ported to Drupal by kong
CSS Templates by Inf Design - Valid XHTML & CSS