จากตอนที่แล้ว แชร์ประสบการณ์ ขั้นตอนการขอวีซ่าและสัมภาษณ์วีซ่าสหรัฐอเมริกา(1)
ตอนนี้จะเล่าถึงเรื่องการเตรียมเอกสารและบรรยากาศวันที่ไปสัมภาษณ์วีซ่า ก่อนไปตื่นเต้นเหมือนกันนะ ไปคนเดียว ยิ่งอ่านประสบการณ์การสัมภาษณ์วีซ่าในอินเตอร์เน็ต ที่แต่ละคนมาเล่าถึงการสัมภาษณ์และการได้มาซึ่งวีซ่าอเมริกาว่ายาก ยิ่งทำให้รู้สึกกลัว ทั้งๆ ที่รู้ว่ายังไงก็น่าจะผ่านเพราะเราไปดูงาน มีจดหมายเชิญจากทางอเมริกา การงานก็มั่นคงมีเอกสารรับรองจากหน่วยงาน แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี ก่อนที่จะถึงขั้นตอนการไปสัมภาษณ์ มาทบทวนขั้นตอนการขอวีซ่าอเมริกากันก่อน จาก Post ที่แล้ว ^_^
ขั้นตอนการขอวีซ่าสหรัฐอเมริกา
เตรียมไฟล์รูปถ่าย ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางและข้อมูลส่วนตัวต่างๆ
1. เข้าไปกรอกแบบฟอร์มการสมัครวีซ่า DS-160 ผ่านเว็บ แล้ว Print ใบยืนยันเก็บไว้
2. ซื้อ PIN ที่ไปรษณีย์ (ซื้อมาก่อนกรอก DS-160 ก็ได้ เพราะจะใช้ได้หลังบ่ายโมงของวันถัดไป)
3. เข้าไปนัดวันสัมภาษณ์วีซ่า โดยใช้รหัส PIN ที่ได้มา(ต้องกรอก DS-160 เรียบร้อยแล้วนะ)
4. ชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าที่ไปรษณีย์ แล้วเก็บใบเสร็จไว้
5. เตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อม เดินทางไปที่แผนกกงศุลสถานทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อสัมภาษณ์วีซ่า
6. ถ้าผ่านรอรับ VISA ทางไปรษณีย์(กรณีให้จัดส่งทางไปรษณีย์) ถ้าไม่ผ่านก็ถือ Passport กลับบ้าน
การเตรียมเอกสารไปสัมภาษณ์วีซ่า
หลังจากที่เรานัดสัมภาษณ์เสร็จแรียบร้อย ก็มาเตรียมเอกสารที่จะต้องนำไปในวันสัมภาษณ์ เราขอวีซ่าชั่วคราว B1 Business/Conference สิ่งที่จำเป็นต้องมีคือ ใบรับรองการทำงานจากหน่วยงาน และ จดหมายเชิญจากอเมริกา ตอนที่กรอก DS-160 ยังไม่ได้ดำเนินการขอเอกสาร ซึ่งผู้ใหญ่ใจดีที่ไปด้วยดำเนินเรื่องทำเอกสารให้ทั้งหมด (- /I -) เนื่องจากช่วงนั้นเราเข้าโรงพยาบาล รายละเอียดข้อมูลในเอกสาร
- จดหมายเชิญจากอเมริกามา ในนั้นมีชื่อเรา บอกชื่อกิจกรรมที่เราจะไปดูงาน วันที่และระยะเวลา สถานที่พักและอาหารการกิน ว่าทางนั้นเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ ชื่อผู้ที่รับผิดชอบและที่อยู่ผู้ติดต่อที่อเมริกา
- ใบรับรองการทำงานจากหน่วยงาน เราว่าอันนี้สำคัญสำหรับใครที่มีงานประจำทำ จะเป็นเอกสารที่แสดงให้เห็นว่า เรามีงานที่มั่นคงทำ ให้ทางสถานทูตมั่นใจว่าไปแล้วต้องกลับมาเมืองไทยแน่นอน ในเอกสารจะรับรองว่าทำงานที่หน่วยงานนี้ ตำแหน่งอะไร ทำมาแล้วกี่ปี เงินเดือนเท่าไหร่ ในระหว่างลาไปต่างประเทศก็ยังเป็นพนักงานที่นี่อยู่ เมื่อกลับมาต้องเขียนรายงานต่อหน่วยงาน และ หน่วยงานเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทางครั้งนี้
นอกจากเอกสารสองอย่างที่พูดมาแล้ว เราก็ยังเตรียมเอกสารอย่างอื่นด้วย ซึ่งที่เตรียมไปก็ไม่ได้ใช้เลย แต่ก็เตรียมไปเพื่อความอุ่นใจ ซึ่งถ้าเขาขอดูขึ้นมาก็มีให้ดู คือ สมุดบัญชี และ Statement 6 เดือน จริงๆ ของเราในจดหมายรับรอง หน่วยงานเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ Statement ก็ไม่จำเป็น
สรุปเอกสารที่ใช้ตอนไปสัมภาษณ์วีซ่า
เอกสารที่ต้องถือไปด้วยในวันสัมภาษณ์วีซ่า(ข้อ 1-5 ทุกคนต้องเตรียมไปเหมือนกัน)
- Passport เล่มปัจจุบัน มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน หากมี Passport เล่มเดิมด้วย ให้เอาไปด้วยทั้งหมด
- หน้ายืนยัน DS-160 ที่พิมพ์ออกมา
- ใบเสร็จค่าธรรมเนียมวีซ่า ที่ไปรษณีย์ให้มาตอนไปชำระค่าวีซ่า ต้องใช้ตัวจริงเท่านั้น และ ชื่อในใบเสร็จต้องตรงกับชื่อของเรา ถ้าใครต้องการใช้ใบเสร็จไปเบิกกับหน่วยงาน แนะนำให้สำเนาไว้ เพราะเขาจะเก็บเอกสารนี้ไปเลยไม่คืนให้เรา
- ใบข้อมูลยืนยันการนัดหมาย ที่พิมพ์อออกมา
- รูปถ่าย เผื่อว่ารูปถ่ายที่เราโหลดเข้าไปจะมีปัญหา จะได้ใช้รูปที่เราเอาไปแสกนลงเครื่อง (ของเราไม่มีปัญหา รูปถ่ายที่นำไปเลยไม่ได้ใช้)
- ใบรับรองการทำงาน
- จดหมายเชิญจากสหรัฐอเมริกา
เราขอวีซ่าแบบ B1 Business/Conference เอกสารที่เราใช้ในวันนั้นก็มีแค่นี้ ส่วนใหญ่คนที่ขอวีซ่า B1 ก็จะขอวีซ่า B2 ด้วย ซึ่งตอนกรอก DS-160 จะสามารถเลือกชนิดของวีซ่าเพิ่มได้ ของเราพอได้วีซ่ามาก็ได้เป็นวีซ่า B1/B2 เหมือนกัน ส่วนคนที่ขอวีซ่าชนิดอื่นก็อาจจะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมที่แตกต่างกันไป ตามที่สถานทูตกำหนด เช่น นักเรียนหรือผู้เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน อาจจะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมคือ I-20 หรือ DS-2019 ดูรายละเอียดเกี่ยวกับเอกสารได้ที่ >> //thai.bangkok.usembassy.gov
เอกสารอื่นๆ ที่จะนำไปในวันสัมภาษณ์แต่ละคนก็จะมีการเตรียมที่แตกต่างกันไป ซึ่งเราคิดว่าเตรียมไป ดีกว่าเขาเรียกดูแล้วไม่มี จากที่ได้อ่านเกี่ยวกับการไปสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกาและเอกสารต่างๆ ที่ทางกงสุลจะขอเรียกดูและการที่ได้รู้จากการต่อคิวสัมภาษณ์ เอกสารที่เราคิดว่าควรเตรียมไปด้วย ซึ่งบางอย่างอาจจะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ก็ได้ อาจจะมีมากกว่านี้แต่ขอยกตัวอย่างแค่นี้ค่ะ
- คนที่มีงานประจำทำ >> ใบรับรองการทำงานจากหน่วยงาน อันนี้สำคัญ
- คนที่ทำธุรกิจส่วนตัว หริอเป็น เจ้าของกิจการ >> ใบทะเบียนพาณิชย์ หรือ หลักฐานที่แสดงว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจ หลักฐานทางการเงิน
- ถ้าไปสัมภาษณ์เป็นครอบครัว(นัดสัมภาษณ์โดยใช้ PIN เดียวกัน) >> ทะเบียนบ้านตัวจริง
- พ่อแม่ที่มี VISA อเมริกาแล้ว พาลูกไปขอวีซ่า >> ทะเบียนบ้าน สูติบัตร(กรณีที่เด็กยังไม่มีบัตรประชาชน) Passport ของพ่อและแม่(จริงๆ ถ้าไม่ได้เอาไปก็สามารถตรวจสอบได้ว่ามีวีซ่าแล้ว)
- ถ้ายังไม่ทำงานหรือยังไม่มีรายได้ >> หลักฐานทางการเงินของผู้ที่ออกค่าใช้จ่ายให้ ถ้าเรียนอยู่ก็หลักฐานว่ายังเรียนอยู่ที่ไหน
- คนที่ไปเยี่ยมญาติหรือไปดูงาน >> จดหมายเชิญจากทางสหรัฐอเมริกา
- นักเรียนจะไปเรียนต่อ >> หลักฐานทางการศึกษา เช่น Transcript ใบปริญญาบัตรหรือใบรับรอง หลักฐานทางการเงินของผู้ที่ออกค่าใช้จ่ายในการเรียนให้
- ถ้าไปท่องเที่ยวก็ต้องรู้ว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนบ้างเผื่อเขาถาม หรือ จะมีโปรแกรมการท่องเที่ยวเลยก็ได้เผื่อไว้
ประสบการณ์วันไปสัมภาษณ์วีซ่า
ก่อนไปก็เตรียมเอกสารใส่แฟ้มไว้พร้อม ใช้คลิปหนีบแยกเอกสารที่ต้องใช้แน่ๆ กับเอกสารที่เอาไปเผื่อเขาขอดูออกจากกัน เรานัดสัมภาษณ์เวลา 7.10 น. ในใบข้อมูลยืนยันการนัดหมายให้ไปถึงก่อนเวลา 30 นาที ซึ่งเราควรจะต้องไปถึงสถานทูตก่อน 6.40 น. ข้อควรระวังคือควรเผื่อเวลาไว้ก็ดี เพราะถ้ามาสายมากเกิน 1 ชั่วโมง เขาอาจจะไม่ให้เราเข้าสัมภาษณ์และต้องไปนัดสัมภาษณ์ใหม่ เราเดินทางไปโดยรถแท็กซี่ ให้แท็กซี่มารับ 5.30 น. เผื่อเวลาไว้ ไปถึงก่อนดีกว่าไปสาย วันนั้นตื่นตีห้า แต่งตัวเรียบร้อยใส่ชุดทำงาน เราว่าการแต่งตัวก็สำคัญนะ สร้างความน่าเชื่อถือได้ส่วนหนึ่ง และที่สำคัญควรแต่งกายเคารพสถานที่ที่เราไป
แท็กซี่พาขึ้นทางด่วน มาถึงสถานทูตสหรัฐแผนกกงสุลเวลา 6.00 น. เห็นคนยืนเข้าแถวรออยู่บนฟุตบาทข้างกำแพง มีสายกั้นขนานกับกำแพง ก็เดินไปต่อแถว คนข้างหน้าเรามีประมาณ 20 กว่าคน ลูกป้าคนที่ยืนต่อจากเราบอกว่าข้างหน้าเรามี 26 คน ได้คุยกับป้าที่ยืนต่อคิวได้สัมภาษณ์รอบแรก 7.00 น. ซึ่งของเราน่าจะเป็นรอบต่อไป 7.10 น. รู้สึกว่าโชคดีที่วันที่เข้าไปนัดสัมภาษณ์มีรอบนี้ให้เลือกรอบเดียว เพราะว่ามาตอนเช้ารถไม่ติด และ การมาเข้าแถวยืนรออยู่ด้านหน้า ถ้าเป็นตอนบ่ายๆ คงร้อนมากๆ ด้านหน้าตรงทางเข้ามีน้ำดื่มไว้บริการ
เรายืนรออยู่จนถึงเวลาประมาณ 6.45 น. ก็มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงสองคนมาจัดแถวใหม่ ซึ่งคนที่ไม่ใช่เวลา 7.00 น. ให้ยืนชิดด้านซ้ายติดกำแพง ส่วนคนที่เป็นเวลา 7.00 น. ก็จะถูกเรียกเรียงขึ้นมาตามคิวที่ยืนอยู่ เพื่อมายืนอยู่แถวด้านขวา ตอนนี้เหลือคนที่อยู่ด้านหน้าเราที่ไม่ใช่รอบ 7.00 น. ประมาณ 8 คน พอเรียก 7.00 น. ครบ ก็ถึงคิวเวลานัด 7.10 น. แอบดีใจที่เรามาเป็นคนแรกของ 7.10 น. ^_^ เราย้ายไปต่อแถวด้านขวาของคนสุดท้าย 7.00 น. เจ้าหน้าที่จะบอกให้เราเอาเอกสารออกจากแฟ้มหรือซอง เปิด Passport หน้าแรกไว้ และเอาใบนัดหมายและ DS-160 ขึ้นมา แล้วจะเดินถามว่าขอวีซ่าชนิดไหนและเขียนเวลานัดและชนิดของวีซ่าด้วยปากกาเมจิก ไว้บนใบ DS-160 พร้อมทั้งแจกบัตรสีน้ำเงิน หากเป็นการขอวีซ่าถาวรจะเป็นอีกแถว ซึ่งวันนั้นตอนที่เราไป มีเพียงไม่กี่คน ส่วนผู้พิการ เด็ก คนชรา จะอยู่แถวพิเศษอีกแถวนึง
คิวจะเดินตามกันไปเรื่อยๆ จนขึ้นบันได และไปยืนรออยู่ด้านหน้าซึ่งจะมีประตูเข้าได้ 2 ทาง จะต่อแถวเป็น 2 แถวสั้นๆ ตรงนั้นจะเป็นห้องรักษาความปลอดภัยก่อนที่จะเข้าไปด้านใน ก่อนเปิดประตูกระจกเข้าไป ต้องแสดงบัตรสีน้ำเงินที่ได้รับแจกเมื่อสักครู่ จะอนุญาตให้เข้าไปไม่เกินทีละ 4 คน ขั้นตอนนี้ให้เตรียมบัตรประชาชนไว้ด้วย ด้านในจะเป็นเค้าท์เตอร์ เราต้องเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดออกมา ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป กุญแจรถแบบรีโมท แฟลชไดร์ฟ เครื่องเล่นเพลง และ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ถ้ามีร่ม ให้เอาร่มออกมาจากกระเป๋าด้วยนะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จะถูกเก็บไว้ในถุงสีดำมีกุญแจล็อคพร้อมกับบัตรประชาชนของเรา เจ้าหน้าที่จะมอบกุญแจให้กับเรา ส่วนกระเป๋าถือ เอกสารที่เตรียมมาและกุญแจที่เจ้าหน้าที่ให้มา ให้ใส่ลงไปในตระกร้า เพื่อนำเข้าเครื่องแสกน เราต้องยืนรอให้ของเราถูกแสกนเรียบร้อยก่อนและไม่มีปัญหา จึงจะเดินผ่านเครื่องแสกนเข้าไปรับของได้ กุญแจที่ได้มาคล้องไว้ที่มือก็สะดวกดี ส่วนร่มเขาจะเอาไปวางเรียงๆ ไว้บนเค้าท์เตอร์ด้านทางออก
เปิดประตูจากห้องนั้นออกมาด้านนอก ก็จะเป็นทางเดินลาดมีหลังคา มีช่องให้ยืนเข้าแถว ตรงนี้จะมีเจ้าหน้าที่ 2 คนเป็นคนเตรียมเอกสารใส่แฟ้มให้ และให้ใบส่งไปรณีย์สีฟ้ามาเขียนรายละเอียด เอกสารที่ไม่ใช้เจ้าหน้าที่จะคืนให้ เอกสารของเราก็มี ใบ DS-160 ซึ่งเจ้าหน้าที่จะนำใบเสร็จค่าธรรมเนียมวีซ่ามาเย็บติดกันไว้ เล่ม Passport หนังสือรับรอง และ หนังสือเชิญ ทุกอย่างใส่ไว้ในแฟ้มใส และให้นำแฟ้มนี้ไปยื่นที่ช่องด้านบน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
เดินขึ้นทางลาดไปยืนต่อคิวที่ช่องด้านบน จะเป็นช่องกระจกคล้ายๆ ช่องจำหน่ายตั๋วใน BTS เจ้าหน้าที่เป็นผู้หญิงคนไทยทั้ง 2 ช่อง การสนทนาจะพูดใส่ไมค์โครโฟนเล็กๆ เราจะได้ยินบทสนทนาของคนด้านหน้าเราด้วย ตรงนี้จะเป็นการตรวจเอกสาร สัมภาษณ์เบื้องต้นและแสกนลายนิ้วมือ หากมีเอกสารอะไรที่จำเป็นอีกเจ้าหน้าที่จะขอเอกสารนั้น อย่างพ่อแม่ลูกที่มาขอวีซ่าให้ลูกสาวอายุประมาณ 3-4 ขวบเจ้าหน้าที่ก็ขอสูติบัตร แต่เขาไม่ได้เอามาเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ส่วนใหญ่คำถามที่ถามก็.. ไปทำอะไรที่อเมริกา ไปนานเท่าไหร่ ทำงานอะไร ที่ไหน ฯลฯ ยืนต่อคิวอยู่ไม่นานก็ถึงคิวเรา เอาแฟ้มเอกสารยื่นให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตรวจดูเอกสาร แล้วก็จะเริ่มสัมภาษณ์เรา จำบทสนทนาได้คร่าวๆ ได้ประมาณนี้
เจ้าหน้าที่ : คุณจะไปทำอะไรที่อเมริกาคะ
bombik : สังเกตการณ์และดูงาน ... ค่ะ
เจ้าหน้าที่ : ไปกี่วัน และ ไปเมื่อไหร่คะ
bombik : เราไปประมาณ 2 สัปดาห์ค่ะ ตั้งแต่วันที่...ถึง...
เจ้าหน้าที่ : ไป...แล้วคนอื่นๆ ได้วีซ่ากันหมดแล้วหรือคะ
bombik : ไม่ทราบค่ะ เพราะแยกกันมาขอวีซ่า
เจ้าหน้าที่ : มี Passport เล่มอื่นอีกไหมคะ
bombik : ไม่มีค่ะ เล่มนี้เล่มแรก (=.= Passport ว่างเปล่ามาก มีแค่วีซ่าญี่ปุ่นอยู่เท่านั้น)
เจ้าหน้าที่ : เล่มแรกในชีวิตเลยหรอคะ
bombik : ใช่ค่ะ เล่มแรกในชีวิตเลย
เจ้าหน้าที่ : คุณเป็น...อยู่ที่...ใช่ไหม
bombik : ใช่ค่ะ แต่เป็นในส่วนของ ... ค่ะ
จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้อ่านป้ายด้านข้างให้จบ แสกนลายนิ้วมือ และคืนแฟ้มเอกสารพร้อมบัตรคิว และ แจ้งว่าให้ไปยืนต่อคิวได้ที่ช่อง 11
เดินมาด้านข้างและเปิดประตูกระจกเข้าไปในห้อง ด้านหน้าเราก็จะเป็นเค้าท์เตอร์ไม้ ที่มีกระจกกั้นระหว่างผู้สัมภาษณ์กับเรา เหมือนช่องด้านนอกที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ เราเดินเข้าไปต่อแถวช่อง 11 ซึ่งมีคนยืนรอต่อคิวอยู่หน้าเราประมาณ 5 คิว ซึ่งบางคนก็มาเดี่ยว บางคนก็มาเป็นครอบครัว และในช่องอื่นๆ อีกถ้าจำไม่ผิดก็มี 5 ช่อง ด้านซ้ายมือที่เราเข้าแถวอยู่มีอีก 5 ช่องแต่ไม่เปิด มีเจ้าหน้าที่คนไทยนั่งอยู่เพียงช่องเดียว ด้านขวามือจะเป็นเก้าอี้ที่นั่งรอจำนวนเยอะพอสมควร การสัมภาษณ์ก็เป็นไปคามคิวที่ยืนรออยู่ เราจะได้ยินบทสนทนาระหว่างผู้สัมภาษณ์กับผู้เข้าสัมภาษณ์คนอื่นๆ ด้วย เพราะผู้สัมภาษณ์จะพูดใส่ไมค์ ผู้สัมภาษณ์ช่องเรายืนสัมภาษณ์ด้วยนะ
ตอนเข้าไปในห้องใหม่ๆ รู้สึกตื่นเต้น ป้าที่เจอกันด้านหน้า กำลังสัมภาษณ์อยู่ในช่อง 11 พอดีและเดินถือ Passport กลับบ้าน นั่นหมายความว่าป้าไม่ได้วีซ่า =.= ระหว่างรอก็ฟังคนอื่นสัมภาษณ์ไปเรื่อยๆ ช่อง 11 ที่เราสัมภาษณ์ เป็นฝรั่งผู้ชายยังหนุ่ม ใส่หมวกผ้าแหลมๆ ดูอารมณ์ดีและเป็นกันเองกับผู้สัมภาษณ์มากมีเสียงหัวเราะตลอด ทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียด แถมพูดภาษาไทยชัดมาก ช่อง 11 เป็นช่องแรกสุดทางซ้ายมือ ไล่ไปทางขวามืออีก 2 ช่องก็เป็นฝรั่งผู้ชายเหมือนกัน ส่วนที่ถัดไปเป็นช่องที่ 4 กับ 5 มองไม่เห็น แต่ได้ยินเสียงผู้หญิงไทยอยู่ช่องใดช่องนึง เพราะพูดภาษาไทยชัดมาก คาดว่าน่าจะเป็นคนไทย
ครอบครัวที่พาลูกมาขอวีซ่าก็สัมภาษณ์ช่องเดียวกับเรา เด็กถามถึงหมวกที่ผู้สัมภาษณ์ใส่อยู่ ก็เลยได้ทราบว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา ช่องที่เรารอสัมภาษณ์จากป้าคนที่ไม่ได้หลังจากนั้นวีซ่าก็ได้วีซ่ากันทุกคน จนถึงคิวเรา ตื่นเต้น! เดินเข้าไปแล้วยื่นแฟ้มเอกสารพร้อมกับกล่าวคำทักทาย
bombik : ยิ้ม พร้อมกับยกมือไหว้ "สวัสดีค่ะ "
ผู้สัมภาษณ์ : รับเอกสารไปเอาออกจากแฟ้ม "สวัสดีครับ คุณ ... ใช่ไหมครับ"
bombik : ใช่ค่ะ ^_^
ผู้สัมภาษณ์ : How are you?
bombik : "I'm fine, Thank you." ไม่ได้ and you? ด้วยอ่ะ >_<
ผู้สัมภาษณ์ : หันไปทางคอมพิวเตอร์และหยิบเอกสาร และถามว่า "คุณพา...ไป....ใช่ไหม"
bombik : ใช่ค่ะ ^_^
ผู้สัมภาษณ์ : เอาเอกสารใบรับรองการทำงาน กับ จดหมายเชิญออกมาวางตรงหน้า กวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว ไม่ได้พูดอะไรอีกหันกลับไปทางคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็หยิบเอกสารใบสีฟ้ามายื่นให้ "เอาใบนี้ไปที่ไปรษณีย์นะครับ"
bombik : ดีใจมากได้วีซ่าแล้ว ^_^ รับเอกสารมาพร้อมกับยกมือไหว้ "ขอบคุณมากค่ะ Happy Birth Day ค่ะ"
ผู้สัมภาษณ์ : "โอ้ว..ขอบคุณมากครับ"
เป็นการสัมภาษณ์ที่สั้นมาก จากนั้นก็เดินออกมาที่ที่ทำการไปรษณีย์ ที่เป็นตู้อยู่ด้านข้าง(ตอนเดินเข้าไปก็จะเห็นว่าอยู่ด้านข้าง) ยื่นเอกสารใบสีฟ้าและชำระเงินค่าจัดส่ง 75 บาท ได้ซองและใบเสร็จมา ก็เขียนจ่าหน้าซองถึงตนเอง แล้วก็เอาซองไปให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรอรับซองอยู่ตรงนั้น เขาจะตรวจอีกครั้งถ้าเรียบร้อยก็กลับได้ ทางกงสุลจะจัดส่ง Passport ให้ประมาณ 3 - 4 วันทำการ ซึ่งเราไปสัมภาษณ์วันจันทร์ วันพฤหัสบดีก็ได้รับ Passport แล้ว ^_^ เสร็จขั้นตอนที่ไปรษณีย์ก็เดินออกมาทางเดิม เข้าประตูด้านขวามือซึ่งเป็นทางออก โชว์หมายเลขที่กุญแจให้เจ้าหน้าที่ดู เพื่อรับของที่เราฝากไว้ และถ้ามีร่มอย่าลืมหยิบร่มที่วางไว้บนเค้าท์เตอร์มาด้วยนะ
เดินยิ้มออกมาจากแผนกกงสุล ^_^ ในความคิดของเรา สิ่งสำคัญของการขอวีซ่าชั่วคราวของอเมริกา คือ ถ้ากงสุลเชื่อมั่นว่า เราไปแล้วจะกลับมาเมืองไทยอย่างแน่นอน ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรแอบแฝงอยู่ เตรียมเอกสารให้พร้อม ตอบคำถามด้วยความบริสุทธิ์ใจ การได้มาซึ่งวีซ่าก็ไม่ยาก
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog ของ bombik ค่ะ แล้วแวะมาอีกนะคะ ^_^