จากตอนที่แล้ว บินเดี่ยวเที่ยว เชียงใหม่(2) : ดอยสุเทพ - ดอยปุย
ลงมาจากดอยปุยก็ได้เข้าชมพระตำหนักช่วงบ่ายพอดี พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2504 เพื่อเป็นที่รับรองพระราชอาคันตุกะ และเสด็จแปรพระราชฐาน ที่นี่สวยงามไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ ดอกไม้เหมืองหนาว และดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์
ก่อนเข้าชมก็ต้องซื้อบัตร ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างชาติ 50 บาท ที่นี่เปิดทุกวันตั้งแต่ 8.30 - 16.30 น. เปิดขายบัตร 2 ช่วง คือ 8.30 - 11.30 น. และ 13.00 - 15.30 น.
การเข้าชมก็เดินชมไปเรื่อยๆ ระยะทางจากทางเข้าจนถึงทางออกก็ไกลพอสมควร แต่จะมีดอกไม้สวยๆ ให้ชมตลอดทาง แต่ถ้าเดินไม่ไหวก็มีบริการรถไฟฟ้านำเที่ยว คันละ 300 บาท นั่งได้ไม่เกิน 3 คน
มีดอกไม้เรียงรายอยู่สองข้างทาง ช่วงที่เข้าชมเป็นช่วงบ่ายๆ แล้วอากาศก็เลยร้อน ถ้ามาช่วงหน้าหนาวคงได้บรรยากาศ
ฟิวเซีย ภาพสุดท้ายน่าจะเป็นดอกกล้วยไม้
ดอกไม้แต่ละชนิดก็มีสีสันหลากหลาย
สีชมพูกับสีแดงถ้าจำไม่ผิดคือดอกเจอราเนียม
มีดอกไม้หลายพันธุ์และหลากสีสันให้ชม
จริงๆ ระยะทางก็ไกลเหมือนกัน แต่ก็เดินเพลินๆ
ซุ้มกล้วยไม้
เดินมาเรื่อยๆ ก็ถึงพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
ก่อนถึงพระตำหนักจะมีบ่อปลาคร๊าฟ ปลาตัวใหญ่มาก
บริเวณนั้นจะมีสวนกุหลาบ ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นสวนกุหลาบสีเหลือง นอกจากนี้ก็ยังมีสีอื่นๆ อีกด้วยบางดอกซ้อนกันจนคล้ายดอกบัว
บริเวณนี้น่าจะเป็นทางขึ้น - ลง แต่เขาห้ามขึ้นนะ
เดินออกจากพระตำหนักก็เอ๊ะ! หมดแค่นี้แล้วหรอ เจ้าหน้าที่มาบอกว่าให้เดินต่อไปอีก จะมีทางเล็กๆ เดินขึ้นไปด้านบน ที่นี่จะเปิดเสียงตามสายเป็นเสียงธรรมชาตินกร้อง ทำให้ได้บรรยากาศสบายๆ เดินขึ้นไปด้านบนก็มีน้ำตกเล็กๆ แบบนี้
อันนี้ฝักอะไรไม่รู้ สีสวยดี เลยถ่ายรูปมา
ถึงด้านบนแล้ว เหมือนเดินขึ้นเขาเลย -_-' ตรงนี้คือพลับพลาผาหมอนและสวนเฟริ์น เป็นที่พักผ่อนราชอิริยาบทและเสวยพระกระยาหาร
จากนั้นก็เดินข้ามสะพานไป ด้านล่างก็คือถนน ถ้าใครขึ้นรถก็จะไม่ได้มาที่เส้นทางนี้ รถจะวนขึ้นไปด้านบนเลย
ต้นที่ขึ้นอยู่ที่พื้นดินเขาเขียนว่าดอกไม้จีน จะเป็นต้นที่มีใบยาวๆ ดอกสีเหลืองๆ นึกไปถึงดอกไม้จีนทีทานในแกงจืด ไม่รู้ใช่หรือเปล่า แต่ดูลักษณะแล้วคล้ายๆ กัน
จากนั้นจะมีบันไดดิน ให้เดินต่อขึ้นไปอีก ถึงตรงนี้ชักเริ่มเมื่อย เหงื่อตก 
ซ้ายมือด้านบนจะเป็นที่ปลูกสตรอเบอรี่
เดินขึ้นมาเจอกับแท่นนี้เป็นประวัติและพิกัดของที่นี่
มีที่ให้นั่งพักผ่อน ถ้าอากาศเย็นๆ คงจะดีกว่านี้
ทางขึ้นอีกช่วง
ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงด้านบน เป็นอ่างเก็บน้ำและน้ำพุ
รอบๆ อ่างเก็บน้ำมีทางเดินรอบๆ มีดอกไม้อยู่สองข้างทาง มีป้ายชื่อประวัติของน้ำพุด้วย
อาคารด้านบนคือพระตำหนักสิริส่องภูพิงค์ หรืออาคารยูคาลิปตัส ซึ่งสร้างจากไม้ยูคาลิปตัส น่าจะเป็นจุดที่สูงที่สุดของที่นี่แล้ว
น้ำพุนี้มีชื่อว่า น้ำพุ ทิพย์ธาราของปวงชน เป็นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้ในพระตำหนัก
น้ำพุจะมีลีลาตามเพลงพระราชนิพนธ์ที่เปิด คล้ายๆ น้ำพุเต้นระบำที่สวนจตุจักร
เดินต่อไปอีกก็จะเป็นจุดบริการอาหารและน้ำดื่ม และที่นั่งพักผ่อน มีน้ำสตรอเบอรี่สดปั่นขายด้วยนะ คาดว่าสตรอเบอรี่น่าจะเอามาจากสวนด้านข้างที่ปลูกไว้
อีกมุมนึง
เสาไม้แกะสลัก สวยดี
ต้นไผ่อะไรจำไม่ได้แล้ว แต่ลำใหญ่มาก
เดินมาตามทางเรื่อยๆ จะเป็นเส้นทางที่บรรจบกับทางเข้า
ตอนที่เดินผ่านมาด้านบน เห็นมีอาคารที่คล้ายจะเป็นที่พักแต่ไม่ทราบว่าใช่หรือไม่
ต้นกัลปพฤกษ์ กำลังออกดอกสีชมพูสวยมาก นี่ถ้ามีหลายๆ ต้นเรียงกันคงสวยมากๆ
ดอกดกมาก แทบจะไม่มีใบเลย
เดินต่อมาเรื่อยๆ เกือบถึงทางออกก็จะเป็นสวนกุหลาบ ที่มีกุหลาบหลายพันธุ์ หลายสี ปลูกไว้
สีนี้ไม่ค่อยได้พบเห็นโดยทั่วไป เป็นกุหลาบสีม่วง แปลกดี สีจริงๆ มันม่วงกว่านี้แต่ถ่ายรูปมาแสงมันทำให้สีเพี้ยนๆ ไป
หลังจากเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยมากๆ กับการเดินเที่ยวที่ภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก็กลับเข้ามาในเมือง หาขนทหวานทานกันที่ร้านมองบลังค์ ที่รีิวิวร้านไว้ที่ พากิน เค้กร้าน Mont Blanc มองบลังค์ ร้านเค้กในเชียงใหม่ เหนื่อยๆ มาทานไอศครีมและของหวาน ชื่น..ใจ
ทานเสร็จก็ต่อไปที่แถวๆ เชียงใหม่ไนท์บาซ่า แต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีอะไรเพราะยังไม่ค่ำ
มื้อเย็นฝากท้องไว้ที่ เฮือนสุนทรีย์ ที่ได้รีวิวไว้ที่ พากิน ร้านเฮือนสุนทรี เวชานนท์ จ.เชียงใหม่
หมดไปแล้วสำหรับทริปวันแรก ดอยสุเทพ ดอยปุย พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เหนื่อยและเมื่อยมากๆ กลับไปนอนพักเอาแรง และตอนต่อไปจะพาไปเยี่ยมชมหลินปิงที่สวนสัตว์เชียงใหม่กันค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชม Blog ของ bombik ค่ะ
