หลังจากทานมื้อกลางวันที่ Dairy home เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางต่อ ไม่นานก็ถึงอำเภอสี่คิ้ว
เราแวะไหว้พระกันที่วัดสรพงศ์ หรือชื่อจริงๆ คือ อุทยานมูลนิธิสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี
ถ้าเรามุ่งหน้าไปโคราชวัดนี้จะอยู่ริมถนนมิตรภาพด้านซ้ายมือ เชื่อว่าถ้าผ่านไปโคราชต้องเห็นแน่นอน
คนมักจะเรียกกันติดปากว่าวัดสรพงศ์ แต่จริงๆ แล้วที่นี่ไม่ใช่วัด ไม่มีพระสงฆ์ สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของคุณสรพงศ์ ชาตรี หรือ พิทยา เทียมเศวต เริ่มเมื่อประมาณปี 2541 เพื่อเป็นที่ตั้งสมเด็จพุทธาจารย์ โต พรหมรังสี ที่ใหญ่ที่สุดในโลก(ไม่รู้ว่าใหญ่ที่สุดในโลกอยู่หรือเปล่าเพราะที่วัดตาลเจ็ดยอดที่ประจวบก็มีหลวงพ่อโตที่ใหญ่ที่สุดในโลกเหมือนกัน) ถึงตอนนี้ก็ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ 100 % แต่ก็ยังมองเห็นความสวยงาม ที่มีการสร้างอย่างประณีตทั้งสิ่งก่อสร้างและภูมิทัศน์โดยรอบ
เข้าไปก็รู้สึกได้ถึงความร่มรื่นและความสวยงามในการจัดสวนภายในอุทยานฯ มีที่จอดรถกว้างขวาง
จากที่จอดรถเดินเข้าไปทางด้านนี้ เข้าไปทำบุญไหว้พระ ด้านหลังจะมีทางเดินต่อไปยังมหาวิหารสมเด็จพระพุืทธาจารย์โต พรหมรังสี
การจัดสวนด้านข้าง ร่มรื่น สวยงาม
ดอกกระเจียว ปลูกอยู่ตามรายทาง สวยดี
เมื่อเข้ามาด้านใน ถ้าเป็นวันหยุดจะเจอคุณสรพงศ์และคุณดวงเดือน พูดเสียงตามสายอยู่และเชิญชวนให้ร่วมทำบุญใครอยากถ่ายรูปด้วยก็เข้าไปขอถ่ายได้เลย หากทำบุญตามจำนวนก็จะมีวัตถุมงคลแจก
ที่เห็นเป็นการติดธงผ้าป่า แต่ละกองก็จะมีชื่อแตกต่างกันไป อย่างต้นนี้ก็ กำบังโภยภัย
เดินออกมาด้านนอกก็จะเป็นทางเดินไปยังวิหารฯ และเจอน้ำพุแบบนี้ สังเกตว่าบนยอดจะมีพานตั้งอยู่ ให้อธิฐานและหันหลังเอาเหรียญโยนขึ้นไปให้ตกในพาน แล้วจะสมหวัง เราไม่ได้หันหลังเพราะทีแรกไม่รู้ว่าต้องหันหลังด้วย แต่ขนาดหันหน้ายังไม่ลงพานเลย - _-ไปตกบนชั้นอื่นแทน
ด้านข้างเป็นระฆังแขวนตามทางเดิน ที่จะเดินไปยังวิหารพระพุทธไสยาสน์
เห็นบัวแล้วนึกถึงคำสอนของพระพุืืืทธเจ้าเรื่องบัวสี่เหล่า ซึ่งเปรียบบุคคลเหมือนบัว 4 จำพวก
หนึ่ง บัวที่โพล่พ้นน้ำพร้อมจะบานเมื่อถูกแสงอาทิตย์ คือคนที่สติปัญญาเฉลียวฉลาด ฟังธรรมแล้วเข้าใจในเวลารวดเร็ว สอง บัวที่ปริ่มน้ำจะบานในวันถัดไป คือคนที่สติปัญญาปานกลางต้องได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติมถึงจะเข้าใจธรรม สาม ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำที่จะค่อยๆ โพล่ขึ้นและบานไ้ด้ในวันหนึ่ง คือคนที่สติปัญญาน้อยต้องฝึกฝนเพิ่มเติม ขยันหมั่นเพียรและไม่ย่อท้อก็จะสามารถเข้าใจธรรมได้ในสักวันหนึ่ง สี่ บัวที่อยู่ใต้โคลนตมไม่มีทางโพล่ขึ้นมา รังจะเป็นอาหารของเต่าปลา คือคนที่ไร้สติปัญญา ได้ฟังธรรมก็ไม่เข้าใจความหมาย อีกทั้งยังขาดศรัทธาไร้ความเพียร
ทางเดินบนพื้น ก็ยังมีดอกลีลาวดีสีต่างๆ ประดับบนพื้น
หน้าวิหารสมเด็จพระพุืทธาจารย์โต พรหมรังสี
หากอยู่หน้าวิหารสมเด็จพระพุืทธาจารย์โต พรหมรังสี ด้านขวามือของเราคือวิหารพระพุทธไสยาสน์
ที่นั่งให้นั่งด้านหน้าวิหารฯ ไว้นั่งพักตรงนี้ลมเย็นดี สังเกตด้านล่างเอาหินมาเรียงๆ กัน ประณีตจริงๆ
ไม้ดัดตอตะโก ที่ว่าดำเป็นตอตะโกมันดำแบบนี้นี่เอง
ทางเดินเพื่อเข้าไปนมัสการสมเด็จประพุืทธาจารย์โต พรหมรังสี
รับดอกไม้กับธูปบริเวณนี้แล้วก็เข้าไปไหว้ด้านใน ที่นี่ไหว้พระโดยที่ไม่มีการจุดธูปจุดเทียน จะมีที่นั่งและบทบูชาให้ท่องแล้วก็วางดอกไม้ธูปเทียนไว้บริเวณนั้น
จากนั้นก็เดินขึ้นไปปิดทองสมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี องค์พระหล่อมาจากทองเหลืองหนัก 61 ตัน สูงประมาณตึก 2 ชั้น ในส่วนนี้ก็กำลังมีการก่อสร้างเช่นกัน
องค์พระสูงทีเดียว เวลาปิดทองก็จะปิดถึงแค่บริเวณหน้าตักด้านหน้า ได้แก่ ขา เท้า หัวเข่า เท่านั้น
ศิลปะบนฝ้าเพดาน ยังทำไม่เสร็จก็มีรอยแตกนิดหน่อยแล้ว
วิหารพระพุทธไสยาสน์ กำลังก่อสร้างด้วยเหมือนกัน
ได้ยินว่ากำลังทำการสร้างพระพุทธไสยาสน์ทองสัมฤทธิ์ยาวที่สุดในโลก มีความยาว 89 เมตร
ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 500 ล้านบาทในการก่อสร้าง -o-
สวยดี ถ้าสร้างเสร็จคงสวยกว่านี้อีก ส่วนนี้เราไม่ได้เดินเข้าไปดู
ด้านข้างของอุทยานฯ ก็จะคล้ายๆ ทะเลสาป มีสะพานเดินข้าม มาทำบุญแล้วเจอบรรยากาศดีดีก็รู้สึกดีขึ้นไปอีก
การจัดสวนโดยรอบก็มีต้นไม้หลากหลาย ไม่เว้นแม้แต่ต้นกก ชอบ..
มุมเครื่องปั้นดินเผา
มุมน้ำตก
มีภาพในมุมกว้างมาให้ดูกัน
สถานที่จริงๆ สวยกว่าในรูปที่เห็น คนถ่ายฝีมีไม่ดีแถมกล้องไม่ดีอีกต่างหาก อิอิ
นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีราดหน้ารสชาติอร่อยไว้บริการฟรีที่โรงทานด้วย แต่เราไม่ได้ทาน
ไปทำบุญที่นี่ก็ได้ทั้งอิ่มบุญ อิ่มตา อิ่มใจ และอาจจะอิ่มท้องด้วย มีมุมให้นั่งสงบจิตสงบใจ พักผ่อนสบายๆ และมุมถ่ายรูปสวยๆ ถ้าผ่านไปอำเภอสี่คิ้ว ก็แวะไปทำบุญกันนะ สาธุ...