พาชมพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ

หลังจาก สรงน้ำพระ ทำบุญไหว้พระในเทศกาลสงกรานต์ ที่วัดโพธิ์ท่าเตียน แล้ว ออกจากวัดโพธิ์ก็มุ่งหน้ามายังท้องสนามหลวง เพื่อมาชมความงดงามของพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ที่เปิดให้ประชาชนได้เข้าชม ระหว่างวันที่ 11 - 17 เมษายน 2555 ตั้งแต่เวลา 9.00 - 19.00 น. (หลังจากเวลาเปิดเข้าชมจะยังคงเปิดไฟภายในพระเมรุถึงเวลา 22.00 น.)

จากวัดโพธิ์กว่าจะเดินมาถึงสนามหลวง เหงื่อท่วมตัว อากาศร้อนมากๆ ถ้าไปช่วงกลางวันอย่าลืมร่ม หมวก แว่นกันแดด พกไปด้วยจะดีมาก เรามาถึงพระเมรุประมาณบ่ายสามกว่าๆ เกือบสี่โมงเย็น แต่แดดยังร้อนมากๆ

มีคนมาเข้าชมเยอะพอสมควร ในย่านนี้มีการทำบุญไหว้พระ 9 วัด และเล่นสงกรานต์คนเลยคึกคัก ไม่เหมือนบางที่ในกรุงเทพฯ ที่คนน้อยและรถโล่ง ทางเข้า-ออกพระเมรุมีด้านเดียวคือทางด้านทิศเหนือ บริเวณกลางท้องสนามหลวง

เข้ามาด้านใน ด้านขวาจะเป็นกองอำนวยการ ไปลงชื่อลงทะเบียน จะได้รับแผ่นพับเกี่ยวกับพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ และ เอกสารความรู้เกี่ยวกับสัตว์หิมพานต์ประดับพระเมรุ ในบริเวณนี้ยังมีการจำหน่ายเหรียญที่ระลึก อนุสรณ์พระราชพิธีพระราชทางเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ของกรมธนารักษ์ ราคาเหรียญละ 100 บาท

ลงทะเบียนเสร็จ อากาศร้อนมากๆ เข้ามานั่งพักที่ระบียงที่อยู่รอบๆ พระเมรุ ด้านหน้าระเบียงที่เรานั่งจะมีกระถางต้นไม้ เรียงไปตลอดแนว น่าจะเป็นกระถางที่ทำมาเป็นพิเศษ สวยมาก มีตราพระนามย่อ พร ภายใต้พระชฎามหากฐินและอุณาโลม ทุกใบ

บริเวณที่เราไปนั่งหลบร้อน เรียกว่า ทับเกษตร ใช้เป็นที่นั่งของเจ้าหน้าที่ที่มาร่วมงาน ส่วนกลางทับเกษตรจะเป็นอาคารยอดมณฑป ด้านในจะมีพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ

พระเมรุจะอยู่ตรงกลางลาน พลอากาศตรีอาวุธ เงินชูกลิ่น และคณะช่างจากสำนักงานสถาปัตยกรรม กรมศิลปากรได้ร่วมกันกำหนดและจัดภูมิทัศน์รอบพระเมรุ

ทับเกษตรอีกด้าน

พระเมรุสวยงามมาก จริงๆ อยากเดินถ่ายเก็บรายละเอียด แต่ทนต่อสภาพอากาศร้อนไม่ไหว ถ้าใครจะมาชมความงดงาม มาช่วงเช้าหรือช่วงเย็นแดดจะไม่ร้อน ที่สำคัญช่วงเย็นถึงค่ำจะได้ภาพที่มีแสงสวยงามด้วย

อีกมุมนึง

ทับเกษตรที่อยู่อีกด้าน

รอบๆ พระเมรุจะมี ฉัตร เทวดาถือโคมไฟอัญเชิญฉัตร

รอบๆ พระเมรุ มีการจำลองป่าหิมพานต์ที่ตั้งอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ประกอบด้วยเขามอ ต้นไม้ และ สัตว์หิมพานต์นานาชนิดตามที่กล่าวไว้ในตำนาน คนไทยมีคติความเชื่อว่า พระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์เปรียบเสมือนสมมติเทพ เมื่อเสด็จพระราชสมภพ ถือว่าเป็นเทพอวตาร เมื่อถึงวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ คือ การเสด็จกลับสู่เทวภิภพ เรียกว่า สวรรคต มีความหมายว่า เสด็จสู่สวรรคาลัย ณ ยอดเขาพระสุเมรุ

 สัตว์หิมพานต์ที่อยู่รอบๆ พระเมรุมีประมาณ 80 ชนิด 160 ตัว แต่ละตัวก็จะมีชื่อเรียกและลักษณะที่ต่างกันออกไป จากเอกสารที่ได้รับแจกตอนลงทะเบียนจะทำให้เราได้ทราบว่าตัวไหนชื่ออะไร 

สัตว์หิมพานต์เป็นศิลปะปูนปั้นจากช่างปั้นปูนจังหวัดเพชรบุรี และสำนักช่างสิบหมู่ดำเนินการลงสีลงบนตัวสัตว์หิมพานต์

บางตัวก็จะคล้ายลิงและคน เช่น ด้านซ้ายมือบน ชื่อ กบิลปักษา ตัวและหัวเป็นลิงพื้นดำ มีหางนก และปีกที่ไหล่  ซ้ายล่าง คือ มยุระคนธรรพ์ ศรีษะและลำตัวเป็นคนธรรพ์ ท่อนขาและหางเป็นนกยูง มีปีกที่ไหล่

ทางขึ้นด้านมุขทางทิศใต้ของพระเมรุ

พระที่นั่งทรงธรรม ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตก เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะบำเพ็ญพระราชกุศล และ มีที่สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ทูตานุฑูต นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เผ้าฯ รับเสด็จ

แดดส่องสะท้อนสีทองงดงามมาก ส่วนที่ไม่ได้เป็นสีทองและแดง จะเป็นสีชมพู ซึ่งเป็นสีประจำวันประสูติ ของสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดฯ

อาคารที่เห็นอยู่ซ้ายมือ เรียกว่า ซ่าง จะมี 4 มุมรอบๆ พระเมรุ

พระเมรุทางด้านทิศตะวันตก เป็นทางเสด็จพระราชดำเนิน

ด้านนี้พอช่วงบ่ายถึงเย็น แสงอาทิตย์จะส่องสะท้อนตัวพระเมรุ เป็นสีทองอร่าม

อีกมุมของด้านทิศตะวันตก ถ้ากล้องเทพ คงจะถ่ายออกมาสวยมากๆ

ช่วงบ่ายคนจะมาปักหลักถ่ายรูปอยู่ด้านนี้ เพราะมีที่หลบแดด และแสงสะท้อนที่ตัวพระเมรุสวยมาก

สีทองอร่าม

มุมไกลๆ อีกมุม

ทางขึ้นพระเมรุทางด้านทิศเหนือ สำหรับอัญเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐาน

มาดูสัตว์หิมพานต์กันบ้าง ถ่ายมาแค่บางตัว ตัวนี้คือ ดุรงคปักษิณ ตัวเป็นม้าพื้นสีขาว มีปีกและหางเป็นนกสีเขียว ผมแปรง กีบสีดำ

วารีกุญชร ตัวเป็นช้าง หูและหางเป็นครีบและหางปลา พื้นสีม่วง ครีบและหางสีเขียว

กรินทรปักษา ตัวเป็นช้าง พื้นสีดำ ปีกและหางแบบนก สีแดงชาด

กรินทรปักษา ตัวเป็นช้าง พื้นสีดำ ปีกและหางแบบนก สีแดงชาด

ตัวนี้หาคำบรรยายไม่เจอ ดูจากลักษณะ ตัวเป็นช้างพื้นสีแดง มีปีกและหางเป็นนก

เป็นอีกหนึ่งตัวที่หาคำบรรยายในเอกสารไม่เจอ

 นกการเวก รูปร่างเป็นนก พื้นสีหงเสนอ่อน

สีหคักคา หัวเป็นสิงห์ ลำตัวเป็นเกร็ด เท้ามีเล็บแบบช้าง สีม่วงแก่

ด้านซ้าย คือ สุบรรณเหมราช หัวเป็นเหมราช ตัวและหางเป็นครุฑ
ด้านขวา คือ ไกรสรนาคา ตัวเป็นสิงห์ หัวและหางเป็นนาค มีเกล็ดทั้งตัว พื้นสีน้ำเงินอ่อน

 เทพกินนร เทพกินนรี ลำตัวและหน้าเป็นเทพ ท่อนล่าง ขาและหาง เป็นแบบนก

สัมพาที พญานกในเรื่องรามเกียรติ์ กายเป็นสีแดงชาติ

ด้านซ้าย คือ สุบรรณเหรา ตัวเป็นครุฑ หัวคล้ายพญานาค มีเขา
ด้านขวา คือ สิงห์ปีก หัวและตัวเป็นสิงห์ มีปีก

ด้านหน้าทางเข้า ตอนขาเข้าไม่ได้ถ่าย มีไม้ดอกไม้ประดับอยู่หลายชนิด

แปลงดอกไม้ปลูกเป็นแนวยาว และ กระถางต้นชวนชมที่สั่งทำมาเป็นพิเศษ วางเรียงยาวไปตามแนว การตกแต่งภูมิทัศน์จะเน้นไม้ดอกที่สื่อถึง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ เช่น ดาวเรือง ต้นส้มหลอด ดอกหงอนไก่สีชมพูซึ่งเป็นสีประจำวันประสูติ

อาคารที่เห็นในภาพคือ พลับพลายก สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ประทับขณะประกอบพิธีอัญเชิญพระโกศลงจากราชรถเข้าสู่มณฑลพิธี

สวนนงนุชเป็นผู้รับผิดชอบในการตกแต่งสวน

พื้นที่กว้างมาก กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของสนามหลวง ตกแต่งภูมิทัศน์ได้สวยงาม

จริงๆ ยังมีอาคารอื่นๆ ที่น่าสนใจ แต่ไม่ได้ถ่ายมาเพราะทนกับอากาศร้อนไม่ไหว ถ้าเดินชมรอบๆ ก็จะมีเกร็ดความรู้ต่างๆ อีกมาก จะมีเจ้าหน้าที่นำชมเป็นหมู่คณะวันละ 4 รอบ เวลา 10.00 น. 14.00 น. 16.00 น. และ 18.00 น.

ข้อมูลจากเอกสารสัตว์หิมพานต์ประดับพระเมรุ แผ่นพับ และ ข่าวจาก dailynews

ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม Blog ของ bombik ค่ะ แล้วแวะมาอีกนะคะ ^_^

1 comment on "พาชมพระเมรุ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ"

EkS's picture
EkS (visitor) said on Wed, 08/21/2013 - 20:10:

อยากได้แผ่นพับงานนี้อ่ะครับ
รบกวนสแกนแล้วส่งเข้าเมลได้มั้ยครับ
shiranaiyo[at]live.com

Powered by Drupal, an open source content management system

Copyright © 2009 bombik - Theme ported to Drupal by kong
CSS Templates by Inf Design - Valid XHTML & CSS