ต่อจากตอนที่แล้ว หนีน้ำท่วมไปแอ่วเชียงใหม่ ตอนที่ 4/5 หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ และ วัดอุโมงค์
มาถึงตอนจบแล้วค่ะ วันสุดท้ายของทริปหนีน้ำท่วมไปแอ่วเชียงใหม่ โปรแกรมของวันนี้คือ ขึ้นไปดอยปุย แวะจุดชมวิวดอยปุย หมู่บ้านแม้ว(ม้ง)ดอยปุย แล้วก็กลับเข้าเมือง ช่วงดึกๆ ไปเดินถนนคนเดินวัวลาย ที่เป็นถนนคนเดินวันเสาร์ของเชียงใหม่ ตามมาเดินป่าขึ้นดอยปุยกันเลยค่ะ
หลังจากทานข้าวเช้าที่โรงแรมเสร็จ ก็ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปดอยปุยแต่เช้า อากาศยังไม่ร้อนและรถขึ้้นดอยปุยยังไม่เยอะ ทีแรกเห็นว่าพอขึ้นไปถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพจะจอดรถตู้แล้วเหมารถแดงขึ้นไป แต่ไปๆ มาๆ ก็เอารถตู้ขึ้นไป u_u น่าหวาดเสียว เพราะทางไปดอยปุยแคบมากๆ ถ้าไม่ชินเส้นทางน่ากลัวเหมือนกัน แต่ก็ขึ้นมาถึงที่ทำการด้านบนได้อย่างปลอดภัย ^_^
เคยขึ้นมาที่นี่แล้วครั้งนึง คิดว่าถ้ามาช่วงเดือนมกราคม ช่วงที่ดอกนางพญาเสือโคร่งหรือซากุระเมืองไทยบาน ที่นี่คงจะน่าขึ้นมามากกว่านี้ บริเวณด้านล่างที่ทำการจะเป็นลานกางเต้นท์ สำหรับคนที่ต้องการความเงียบสงบ ใกล้ชิดธรรมชาติ หลีกหนีความวุ่นวายในเมือง
ทีแรกก็สงสัยว่าขึ้นมาทำไม เพราะคิดว่าบนนี้ไม่มีอะไร แต่ตกลงว่าจะเดินป่าไปตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติสู่ยอดดอยปุย ไปติดต่อที่ที่ทำการ เพื่อขอแผ่นพับเส้นทางการเดิน ยืนดูตรงแผนที่จุดเริ่มต้น ลังเลอยู่นาน เพราะสภาพการแต่งตัวไม่พร้อมที่จะเดินป่าเอาซะเลย (-"-) เห็นมีป้ายเขียนว่าระวังทากดูดเลือดด้วย ยิ่งลังเล แต่สุดท้ายไหนๆ ขึ้นมาแล้วก็ลุยเลย เพราะดูแล้วสภาพป่ายังไม่น่าชื้นจนมีทากมากมาย เส้นทางเดินจะเป็นเส้นทางวงกลม จะเริ่มขึ้นจากทางซ้ายหรือขวาก่อนก็ได้ จากด้านซ้ายระยะทางจะไกลกว่าทางด้านขวา แต่ด้านขวาทางโหดกว่ามาก ลงไปซื้อน้ำที่ร้านค้า แล้วออกเดินทาง
เส้นทางจะเป็นเส้นทางขึ้นเขาไม่ชันมาก ความยากระดับปานกลาง เดินเรื่อยๆ หยุดถ่ายรูปและพักเหนื่อยไปในตัว เส้นทางประมาณ 2,600 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง
ตลอดเส้นทางก็จะเป็นประมาณนี้ เป็นป่าดิบเขาดั้งเดิมบนดอยปุย
ต้นไม้ที่ล้มมีมอส(ใช่หรือเปล่าหว่า) ขึ้นอยู่เต็มเลย
ระหว่างทางจะมีสัญลักษณ์บอกว่าเราเดินถึงจุดไหนในแผนที่แล้ว จุดนี้เป็นจุดที่ 2 จากทางด้านที่เราขึ้นมาจะมีอยู่ 7 จุด จากยอดดอยปุยลงไปอีกทางก็มี 7 จุดเช่นกัน
ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เป็นการเดินศึกษาธรรมชาติจริงๆ
ดอกไม้ป่า ระหว่างทางที่ใกล้ถึงยอด จะมีป้ายบอกทางเพื่อขึ้นสู่ยอดดอยปุย
กว่าจะถึงยอดก็หยุดหอบเป็นระยะๆ ทีแรกจินตนาการว่ายอดดอยปุยจะต้องเห็นวิวสวยแน่ๆ เลยเพราะว่าอยู่สูง แต่ปรากฏว่าบนยอดนั้นไม่มีจุดชมวิวและมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากป่ารอบๆ ตัว มาถึงแล้วก็ถ่ายรูปกับป้ายหน่อยว่าได้มาพิชิตยอดดอยปุยแล้ว ระดับความสูงจากน้ำทะเลปานกลาง 1,685 เมตร
ขาลงเรากลับอีกทางเพราะเห็นว่าระยะทางใกล้กว่า แต่เหมือนจะคิดผิด เพราะเส้นทางนี้โหดกว่ามาก มีขึ้นๆ ลงๆ ชันกว่าอีกด้านและน่าหวาดเสียวกว่าเพราะดินลื่น มีพื้นที่ชื้นแฉะเป็นบางช่วง ถ้าเป็นไปได้ลงทางเดิมที่ขึ้นมาดีกว่า
ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ
เจอต้นไม่มีหนามแหลมเหมือนต้นงิ้วด้วย ระหว่างทางก็ดูอะไรเพลินๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ให้สมกับที่มาเดินศึกษาธรรมชาติหน่อย
แล้วเราก็ลงมาถึงลานกว้างที่เป็นทางออกลงสู่ด้านล่าง เหงื่อท่วมตัวเลยทีเดียว
ลงมาถึงที่ทำการอย่างปลอดภัย ^_^
ขากลับแวะจุดชมวิวระหว่าทาง
วิวสวยดี จุดชมวิวนี้จะอยู่ระหว่างทางขึ้นดอยปุย ถ้าขึ้นมาก็จะอยู่ซ้ายมือ
วิวสวยดี เห็นเมฆลอยอยู่ระดับเดียวกับเรา ถ้าจำไม่ผิดทิวเขาที่เห็นเบื้องหน้าโน้น.. น่าจะเป็นดอยอินทนนท์
ด้านล่างที่เห็นเป็นหมู่บ้าน คือ หมู่บ้านแม้วดอยปุย เดียวเราจะลงไปแวะที่นั่นกัน
มาถึงหมู่บ้านแม้ว จอดรถเรียบร้อย ก็เดินขึ้นไปด้านบน มีให้ซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์คนละ 10 บาท ในพิพิธภัณฑ์ก็ไม่มีอะไรมากเป็นพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ในกระท่อมเล็กๆ มีความรู้เกี่ยวกับชนเผ่าต่างๆ และเครื่องมือเครื่องใช้ของชาวเขา
เดินต่อขึ้นไปด้านบนก็จะมีสวนดอกไม้สวยๆ และน้ำตกจำลองให้ได้ถ่ายรูปกัน
ดอกฝิ่นและผลฝิ่น
ดอกไม้สวยๆ
ดอกไม้หลากสี
บริเวณนี้จะมีทางเดินขึ้นไปศาลาด้านบน เหมือนเป็นจดชมวิวอีกที่หนึ่ง
จะเห็นหมู่บ้านแม้วในมุมสูง อยู่ท่ามกลางหุบเขาเลย
ด้านบนจะเป็นศาลามีพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และภาพเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมายังดอยปุย
ด้านบนนี้ลมเย็นมาก วิวดี เห็นหมู่บ้านแม้วอยู่เบื้องล่าง
หลังจากที่ชื่นชมธรรมชาติเสร็จ ก็เดินลงมาด้านล่าง
ด้านนี้ก็จะมีบ้านตัวอย่าง และเครื่องใช้บางอย่างของแม้วจัดแสดงไว้ให้ชม
มองลงไปยังสวนดอกไม้ด้านล่าง มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร
น้ำพุเล็กๆ
ที่นี่จะมีชุดชาวเขาให้เช่าใส่ถ่ายรูป มีหลายร้านให้เลือก หรือถ้าไม่ใส่เอง ก็มีเด็กชาวเขาคอยให้เราถ่ายรูปด้วยเป็นที่ระลึก แต่ต้องจ่ายเงินด้วยนะ
หลังจากลงจากดอยปุย ก็มาทานกลางวันกันที่ร้าน ป๋องก๋วยจั๊บ(ไม่อยากจะบอกเลยว่าเมื่อวานก็เพิ่งมา >_<) จากนั้นก็แยกกับคณะไปหาของหวานหม่ำๆ กันที่ร้าน Fern Forest =.= สองร้านเหมือนเมื่อวานที่มาคนเดียวเลย แต่ร้านเค้กมากี่ทีก็ไม่เบื่อ จากนั้นก็เหมารถแดงให้ไปส่งที่ที่พัก
ตอนค่ำไปงานเลี้ยงฉลองสมรสที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์
จากนั้นก็มาเดินที่ถนนคนเดินวัวลาย เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก
ถนนคนเดินนี้จะอยู่ตรงถนนวัวลายที่เมื่อวันก่อนเรามาวัดศรีสุพรรณ
ไม่ใหญ่เท่าถนนคนเดินวันอาทิตย์ และมีความรู้สึกว่าของที่ขายมันไม่ Hip และเป็นเอกลักษณ์ เท่าถนนคนเดินวันอาทิตย์ แต่ก็มีของอร่อยๆ ให้เลือกทานอยู่บ้าง เดินเล่นชิลๆ
อยู่ย่านถนนวัวลาย ก็ต้องมีเครื่องเงินขาย ^_^
เรามากันค่อนข้างดึก ของหลายอย่างหมด และบางร้านก็กำลังเก็บร้าน
น้องหมาน่ารัก ^_^ ทีแรกนึกว่าตุ๊กตา นอนกันนิ่งเชียว
ลูกชิ้นหมูจิ๋วที่คนขายลีลาสุดยอด ปกติจะขายอยู่แถวๆ นิมมานเหมินทร์ เดินมายืนรอคนอื่นๆ แถวนี้ก็เลยสังเกตว่าตรงนี้มีโรงแรมอยู่ปากทางเข้าถนนคนเดินเลยชื่อโรงแรม
เช้าวันถัดมาก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ กัน สถานการณ์น้ำดีขึ้นบ้าง ตอนเข้ากรุงเทพฯ พอถึงธรรมศาสตร์รังสิตก็เลี้ยวเข้าไปใช้ทางด่วนด้านหลัง เพราะหลีกเลี่ยงรถติดมากในเส้นแถวรังสิตที่ต้องขึ้นทางด่วนอย่างเดียว น้ำลดลงไปเยอะแต่ก็ยังต้องขับรถลุยน้ำอยู่ บริเวณทางด่วนก็ท่วมเป็นบางช่วง น้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ทำงานก็ยังไม่สามารถเปิดได้เพราะระดับน้ำยังสูงอยู่
ทริปนี้ใช้เงินไม่มาก ส่วนใหญ่หมดไปกับของกิน และจากที่ไปครั้งนี้ก็เลยเกิดทริปเชียงใหม่ติดๆ กันอีกทริปหนึ่ง ครั้งนี้เราวางแผนไปเที่ยวม่อนแจ่ม ซึ่งเป็นที่ที่คิดว่าจะไปหลายครั้งแล้ว แต่พลาดทุกที ไว้จะมารีวิวให้ดูกันในตอนต่อๆ ไปนะคะ
ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม Blog ของ bombik ค่ะ แล้วแวะมาอีกนะคะ ^_^