ไปดูมาเมื่อวาน(17 ธันวาคม 2552) ที่ SF เดอะมอลล์งามวงศ์วาน รอบ 18.50 น. หนังเข้าเป็นวันแรก โทรจองทางโทรศัพท์ ดูระบบ 3 มิติที่นั่งธรรมดา 240 บาท แพงกว่าระบบธรรมดา 100 บาท เคยดูตัวอย่างเรื่องนี้ก็เฉยๆ แต่อืม..ไปก็ไป น่าจะสนุก
Avatar หนังอภิมหากาพย์ไซไฟ 3 มิติ ของเจมส์คาเมรอน ของผู้กำกับเรื่อง Titanic ที่เคยโกยรายได้มหาศาลมาแล้ว บทของเรื่อง Avatar ถูกเขียนขึ้นมาก่อน Titanic แต่สมัยนั้นเทคโนโลยียังไม่ถึงอย่างที่ต้องการคาเมรอนเลยยังไม่ทำ ว่ากันว่า Avatar เป็นหนังที่แพงที่สุดในโลกเพราะใช้เงินลงทุนสูงถึง 230 กว่าล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการถ่ายทำแบบ 3 มิติ
Avatar เป็นเรื่องของเจคซัลลี่อดีตนาวิกโยธินหนุ่ม ที่เคยผ่านสนามรบที่โหดร้ายมาแล้ว ถูกส่งมาจากโลกมาทำภาระกิจที่ดาวชื่อแพนดอร่า ในโครงการ avatar เพื่อปฏิบัติภาระกิจแทนฝาแฝดของตัวเองที่เสียชีวิตไป โดยมีร่างอวตารซึ่งสร้างขึ้นมาจากDNAของคนคนนั้นและชนพื้นเมือง(นาวี) เพื่อให้ทนต่อสภาพอากาศและเข้าไปใกล้ชิดกับชนพื้นเมืองแพนดอรา การควบคุมร่างอวตารใช้การถ่ายโอนทางจิตของคนคนนั้นสู่ร่างอวตาร จุดมุ่งหมายของการมาที่แพนโดราของมนุษย์โลกคือ การได้ครอบครองแร่ชนิดหนึ่งที่มีค่ามาก ที่จะนำกลับไปยังโลก
เจคในร่างอวตารถูกส่งไปปฏิบัติภาระกิจ เพื่อสอดแนม ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวนาวี เพื่ออาจจะมีหนทางได้ครอบครองแร่อย่างสันติวิธี ฉากตรงที่เจคเริ่มเข้าไปในป่า ภาพในหนังเริ่มสวยงาม มีอะไรแปลกๆ ให้ดูเยอะดี ทั้งพืชและสัตว์
ที่นี่เจคได้พบกับนีย์ทีรี สาวชาวพื้นเมืองลูกสาวหัวหน้าเผ่า ซึ่งเจคจะต้องผ่านการเรียนรู้ ทดสอบต่างๆ มากมาย เพื่อให้ชาวนาวียอมรับและเชื่อในตัวเขา
ภาพธรรมชาติบนดาวแพนดอราเป็นภาพที่ทำได้สวยงาม จนทำให้อินไปกับเนื้อเรื่องทำให้เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกการรักธรรมชาติ รักบ้าน ของตัวละครในหนังได้จริงๆ
ดูไปบางทีก็ลืมนึกไปว่านี่คือซีจี เหมือนเอาคนมาเล่นจริงๆ
จากการที่คิดว่าจะได้ครอบครองแร่มาอย่างสันติวิธี ในที่สุดมันก็ไม่ได้เป็นตามนั้น สงครามระหว่างมนุษย์โลก(คนบนฟ้า)ที่อยากได้แร่มีค่า กับ ชาวนาวีก็เกิดขึ้น ในเรื่องก็จะได้เห็นความเชื่อของชนพื้นเมืองกับการผูกพันอยู่กับธรรมชาติ ดูแล้วก็อืมได้แง่คิด เข้ากับสภาวะปัจจุบันเรื่องโลกร้อนดี
การต่อสู้เพื่อที่จะได้มาซึ่งแร่อันมีค่าที่จะนำกลับไปยังโลกของมนุษย์ กับ การต่อสู้ของชนเผ่าพื้นเมืองเพื่อปกป้องบ้าน(Home Tree) ของตนเองจากการรุกรานจึงเกิดขึ้น การต่อสู้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็รักบ้านรักที่อยู่ของตนเองทั้งนั้น เมื่อโดนรุกรานทุกๆ คนก็ต้องออกมาปกป้องดินแดนของตัวเอง
ดูแล้วก็..ชาวนาวีจะชนะมนุษย์โลกได้ยังไงเนี่ย ทั้งระเบิดทั้งปืนกลและจักรกลที่ทันสมัย ชนะได้ยังไงต้องไปดูเอง ฉากสงครามก็ทำดี ตื่นเต้นและลุ้นดี
ดูแล้วได้หลายอารมณ์ ภาพตัวละครสมจริงและฉากสวยงามอลังการมาก โดยเฉพาะฉากตอนกลางคืน ที่มีต้นไม้เรืองแสง ดูโรแมนติกดี ^_^ ยิ่งดูในโรง 3D ยิ่งได้อารมณ์เหมือนเราเข้าไปอยู่ตรงนั้นด้วย ใบไม้ ดอกไม้เหมือนมาอยู่ใกล้ๆ ตัวเรา ดูแล้วนึกถึงภาพโลกใต้ทะเลสวยๆ ที่เรืองแสง ต้นไม้ดอกไม้ที่พอไปถูกจะเรืองแสงสวยงามมาก บรรยายไม่หมดต้องไปดูเอง
ราคาตั๋ว 220 บาทบวกค่าแว่น 20 บาทเป็น 240 บาท ก็เอ๊ะ! ขึ้นราคาอีก 20 บาทหรอเนี่ย เพราะครั้งที่แล้วที่ไปดู G-Force หน่วยจารพันธุ์พิทักษ์โลก แบบ 3D ที่นั่งธรรมดายัง 220 บาทอยู่เลย พอตอนไปรับตั๋ว ถึงได้รู้ว่า ที่ SF เขาจะแบ่งราคาหนังตามวัน ถ้าเป็นหนังในระบบ 3 มิติ
- วันจันทร์-อังคาร ที่นั่งธรรมดา(ตั้งแต่แถว D ลงไป) 220 บาท ที่นั่งด้านบน 240 บาท
- วันพุธ ที่นั่งธรรมดา 150 บาท ที่นั่งด้านบน 170 บาท
- วันพฤหัสบดี-อาทิตย์ ที่นั่งธรรมดา 240 บาท ที่นั่งด้านบน 260 บาท
ส่วนถ้าเป็นโรง Digital กับโรงธรรมดาก็เป็นอีกราคาซึ่งแบ่งตามวันเหมือนกัน
สรุป เื่รื่องนี้ก็เป็นหนังที่สนุก ทีแรกก็เฉยๆ แต่พอไปดูก็ชอบ คุ้มค่ากับเิงินที่เสียไป 240 บาท แต่ถ้าจะให้คุ้มกว่า ไปดูวันพุธจะดีมาก
ปล อ้อ! เดิมที่บอกว่าดูหนังที่ SF วันพุธ 40 บาท ตอนนี้ขึ้นเป็น 60 บาทแล้วนะคะ
ปล2 คราวนี้นั่งแถว E รู้สึกใกล้จอดี แถมถูกกว่า 20 บาท แต่ถ้าดู 3D คราวหน้าจะนั่งแถว F
ภาพประกอบจาก avatarmovie.com
ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม Blog ของ bombik ค่ะ ^_^