พาเที่ยว สัมมนาฮาเฮริมทะเลหัวหิน เยือนถิ่นเพลินวาน(1)

ไปสัมมนาที่หัวหินกับพี่ๆ น้องๆ ที่ทำงาน เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา สัมมนาครั้งนี้เป็นโครงการของที่ทำงาน ซึ่งจุดมุ่งหมายของการสัมมนาครั้งนี้คือ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์อันดีกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน และ เพื่อร่วมกันคิดงานหรือโครงการใหม่ๆ ที่จะทำ ครั้งนี้มีสมาชิกไปทั้งหมด 12 คน ^_^ ที่เลือกหัวหินเพราะไม่ไกลมาก พอเหมาะกับระยะเวลา 2 วัน 1 คืน มีสถานที่ที่จะศึกษาดูงานได้หลายที่ ไปมา 2 วัน ก็จะขอแยกรีวิวเป็น 2 ตอนนะคะ ตอนละ 1 วัน แพลนของวันแรก คือ ออกเดินทางออกจากกรุงเทพฯ แวะตลาดร่มหุบ(รถไฟมาตอน 9.00 น.) ไหว้พระที่วัดบ้านแหลม แวะกินไก่ทอดข้างโรงเรียนเทคนิค ต่อไปวัดบางกุ้งดูโบสถ์เก่าแก่ที่ปกคลุมด้วยต้นไทร อัมพวา อุทยาน ร.2 พระรามราชนิเวศน์ วัดกำแพงแลง แวะทานมื้อกลางวันที่ร้านสังเวียนซีฟู้ด เข้าที่พัก ทำกิจกรรมในช่วงบ่าย มื้อเย็นทานข้าวในเมืองหัวหิน และไปเดินที่ตลาดโต้รุ่งหัวหิน และ Cicada

แพลนที่วางไว้ มีเปลี่ยนแปลงบางรายการ เนื่องจากเวลาไม่อำนวย ไม่ได้เข้าอุทยานร.2 ไม่ได้ไปวัดกำแพงแลง ส่วนมื้อกลางวันที่สังเวียนซีฟู้ดก็ไม่ได้ไปเพราะวันนั้นร้านปิด ไปทานมื้อกลางวันที่ริมหาดชะอำแทน ไม่ได้ไปเดินตลาด Cicada หรือ ตลาดจั๊กจั่น เพราะเลื่อนวันเดินทางมาเป็นวันธรรมดา Cicada ไม่เปิด

ออกจากกรุงเทพฯ ถึงตลาดแม่กลองประมาณ เกือบๆ 9 โมง มาดูตลาดริมทางรถไฟ ที่เรียกว่า ตลาดร่มหุบ ยังพอมีเวลาเดินเที่ยวและหาจุดเหมาะๆ ที่จะดู เพราะรถไฟมา 9.00 น.

ตลาดร่มหุบ จะอยู่ติดกับสถานีรถไฟแม่กลอง ชาวบ้านเรียกกันว่าตลาดเสี่ยงตาย ลองสังเกตจากภาพนะ ของจะขายอยู่ 2 ข้างทางรถไฟ เรียกได้ว่า กระจาด กระบะ ตระกร้าของขาย เกยขึ้นมาบนทางรถไฟเลยทีเดียว คนที่เดินซื้อก็ต้องเดินตรงกลาง หรือ ในรางรถไฟ เราเดินไปทางสถานีรถไฟแม่กรอง เพราะต้องการไปดูรถไฟตอนที่ออกจากสถานี

เดินทะลุตลาดมา ก็จะเจอกับสถานีรถไฟแม่กลอง ด้านนี้จะเห็นรถกำลังออกจากสถานี และรถกำลังจะผ่านตลาดร่มหุบ แต่จะเป็นภาพหลังขบวน ถ้าอยากเห็นภาพที่รถไฟกำลังผ่านตลาดร่มหุบและเห็นหน้าขบวน ต้องไปรออีกด้านของตลาด

รถไฟมาแล้ว จะมีนายสถานีดูความเรียบร้อยและให้สัญญาณธงเขียว บริเวณนี้มีคนมารอดูอยู่เยอะพอสมควร มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย ซึ่งความแปลกของตลาดที่นี่ คือพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ จะเก็บของกันอย่างรวดเร็วเมื่อรถไฟมา และ ตั้งใหม่อย่างรวดเร็วชั่วพริบตาเมื่อรถไฟผ่านไป ดูเป็นเสน่ห์ของตลาดแห่งนี้และเป็นตลาดที่ Amazing ที่หนึ่งเลยทีเดียว อิอิ

รถไฟสายนี้เห็นจากชื่อขบวนเป็นรถไฟที่วิ่งจาก แม่กลอง ไป บ้านแหลม ขบวนสั้นๆ มีแค่ 2 โบกี้เท่านั้น เวลาที่รถไฟจะมาคือ ออกจากแม่กลองไปบ้านแหลม 6.20, 9.00, 11.30 และ 15.30 น. ขาเข้ามาแม่กลอง 8.30, 11.10, 15.30 น ถ้าอยากเห็นหรือถ่ายรูปด้านหน้ารถไฟขาออกให้ไปรออีกฝั่ง ขาเข้าให้มารอที่สถานีแม่กลองค่ะ ตอนนี้จะเห็นว่า พ่อค้าแม่ค้าหุบร่มเก็บแผงเรียบร้อยแล้ว รอรถไฟผ่าน

 รถไฟจะจอดที่สถานีแป๊บนึง แล้วก็เปิดหวูด พร้อมออกจากสถานี

แล้วก็วิ่งผ่านไปที่ตลาดร่มหุบ สังเกตว่าระยะห่างจากแผงขายของนิดเดียวเท่านั้น เมื่อรถไฟผ่านไป ร่ม แผง และ ผ้าใบก็กางออกอย่างรวดเร็วมากๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและซื้อ-ขายกันต่อ

จากตลาดร่มหุบ เดินทางเข้ามาอีกนิด มาที่วัดบ้านแหลม หรือ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร เพื่อมานมัสการหลวงพ่อวัดบ้านแหลม ที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์

หลวงพ่อวัดบ้านแหลม สัณนิษฐานว่าเป็นพระที่สร้างในสมัยสุโขทัยหรือกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ซึ่งชาวบ้านพบพระลอยมาในแม่น้ำแม่กลอง 2 องค์ ประดิษฐานที่วัดบ้านแหลม 1 องค์คือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม และนำไปประดิษฐานที่วัดเขาตะเครา 1 องค์ คือ หลวงพ่อวัดเขาตะเครา ซึ่งเป็น 2 ใน 5 องค์ที่เป็นพระที่ลอยมาตามแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งอีก 3 องค์คือ หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโตวัดบางพลี และ หลวงพ่อวัดไร่ขิง

ทำบุญธูปเทียนด้านข้าง

และมานั่งไหว้พระและปิดทอง บริเวณนี้

จากนั้นเข้าไปในโบสถ์เพื่อปิดทองได้ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม เป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ขนาดเท่าคนจริงสูง 167 เซนติเมตร เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มีคุณลักษณะ 9 ประการ คือ เมตตา มหานิยม แคล้วคลาด มีลาภ มียศค้าขาย หายโรค วิชาการ และ รุ่งเรือง

จากนั้นเดินทางต่อมายังวัดบางกุ้ง ที่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยา จุดเด่นที่สำคัญของวัดนี้คือ โบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุนานหลายร้อยปี ซึ่งปกคลุมด้วยต้นไทรขนาดใหญ่

ภายในโบสถ์ประดิษฐานหลวงพ่อนิลมณี หรือ หลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ในสมัยอยุธยาตอนปลาย

หลวงพ่อนิลมณี หรือ หลวงพ่อดำ ภายในโบสถ์ไทรปรก

จะเห็นได้ว่ารอบโบสถ์ถูกปกคลุมด้วยต้นไทร รากไทร ซึ่งที่นี่ เป็น Unseen in Thailand อีกที่หนึ่ง

ด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ในสมัยอยุธยา ที่วาดเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ

มุม Unseen ^_^

ด้านหลังโบสถ์มีศาลแม่นางไม้มณฑาทิพย์(จันทร์เจ้า) ซึ่งเป็นนางไม้ที่มีจิตผูกพักอยู่กับที่นี่ ซึ่งตามตำนานบอกไว้ว่า แม่นางไม้มณฑาทิพย์ หรือ องค์หญิงมณฑาทิพย์ เป็นเจ้าหญิงในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เคยต่อสู้เมื่อครั้งศึกบางกุ้ง เมื่อสิ้นอายุขัยวิญญาณจึงผูกพันอยู่กับที่นี่ เมื่อครั้งพระวินัยธรได้ธุดงปักกรด ปฏิบัติธรรมอยู่ที่หน้าโบสถ์ เกิดนิมิตรเห็นผู้หญิงสูงผมยาวหน้าตาสวยงาม และไม้เสาคานหน้าพระอุโบสถหล่นลงมา พระวินัยธรจึงแกะรูปผู้หญิงเฉพาะหน้าผู้หญิง และไว้ในศาลาชื่อว่าศาลนางไม้เจ้าจอม ต่อมาเมื่อวัดเจิญรุ่งเรืองอีกครั้ง หลวงพ่อจึงเกิดนิมิตรเห็นผู้หญิงคนเดิม และบอกให้แกะตัวเองทั้งตัวจากต้นโพธิ์อายุร้อยปี หลวงพ่อจึงจ้างช่างมาแกะ แต่ช่างไม่เคยเห็นจึงแกะไม่ได้ หลวงพ่อจึงลงมือแกะด้วยตนเอง จึงเป็นรูปในปัจจุบันที่อยู่ที่ศาลหลังโบสถ์ (ข้อมูลจาก wikipedia)

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ ที่นี่เป็นที่ตั้งค่าย ที่เรียกว่า ค่ายบางกุ้ง เมื่อพม่าบุกมาและทหารกรุงศรีอยุธยาต้านทานไว้ไม่อยู่ ค่ายบางกุ้งจึงแตก ต่อมาก็เป็นที่ตั้งค่ายในสมัยสมเด็กพระเจ้าตากสินมหาราช เรียกว่า ค่ายจีนบางกุ้ง หรือ ค่ายบางกุ้ง อีกเช่นกัน

ด้านข้างโบสถ์จะมีรูปปั้น ศิลปะการต่อสู้แบบมวยไทย ในท่าต่างๆ

แต่ละท่า ก็จะมีชื่อเขียนไว้ให้ทราบว่า ท่านี้ชื่อว่าอะไร

บริเวณนี้จะมีอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ทหารและปืนใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง

ด้านหน้าทางเข้าวัด มีทหารเล็กๆ น่ารักดี

จากนั้นเราเดินทางต่อมาที่อัมพวา จริงๆ ต้องแวะอุทยานร.2 แต่ก็ไม่ได้แวะ เพราะเวลาไม่พอ ก็เลยได้แต่มองทางเดินเข้าด้วยความเสียดาย 555 มีโอกาสมาใหม่เองได้ ครั้งที่แล้วที่มาก็ไม่ได้แวะ

อัมพวาในวันธรรมดาที่ไร้ซึ่งผู้คน ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์เดินไหลไปกันเลยทีเดียว

แวะหาอะไรทานกันที่นี่ ไปหาอะไรเย็นๆ ดื่มแบบนั่งสบายๆ สั่งก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเลจริงๆ ร้านฝั่งตรงข้ามมา

อิ่มแล้วก็เดินทางต่อไปที่พระรามราชนิเวศน์ หรือ ชื่อที่รู้จักกันดีคือ พระราชวังบ้านปืน

บริเวณที่เราเห็นด้านหลังคือ ตำหนักศรเพชรปราสาท

ตำหนักศรเพชรปราสาท พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้สร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อพักแรมในฤดูฝน โดยมีมิสเตอร์คาลดอห์ริ่ง ชาวเยอรมันเป็นผู้เขียนแบบ และ ดร.ดวด ไบเยอร์ ชาวเยอรมันเป็นนายช่างก่อสร้าง เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2453 แต่ยังไม่แล้วเสร็จ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ ทรงโปรดให้ก่อสร้างจนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2459 ลักษณะเป็นแบบอาคารสมัยนิยมในยุโรป ในช่วง ค.ศ.1900 หลังคาด้านเหนือเป็นทรงโดม ตรงกลางคล้ายหอคอย ภายในอาคารมีห้องทั้งสิ้น 44 ห้อง พื้นปูด้วยหินอ่อนสลับสีและไม้ ประดับกระจกสีตามช่องหน้าต่างและประตู บางห้องมีการตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ เสาทองแดงดุนลาย เปิดให้เข้าชมด้านใน เสียค่าเข้าชม 20 บาท แต่ภายในห้ามถ่ายรูปค่ะ

วังบ้านปืนก็ต้องมีปืน เป็นปืนใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของตัวอาคาร

ต้นไทรด้านข้าง

จากนั้นก็มาทานข้าวกลางวันกันที่ร้านเตียงผ้าใบริมหาดชะอำ หลังจากที่พลาดร้านสังเวียนซีฟู้ด เพราะว่าร้านสังเวียนซีฟู้ดปิด เป็นร้านผ้าใบที่นั่งริมทะเลธรรมดาๆ มีน้องที่มาเคยมาทานแล้ว อาหาร OK และ ราคาไม่แพง กินได้เต็มที่

สั่งกันมาเยอะมาก กินกันเต็มที่แถมเหลือใส่กล่องกลับไปที่รีสอร์ทด้วย หมึกย่างย่างแห้งไปหน่อย ชอบปลากระพงทอดน้ำปลาอร่อยทอดได้กรอบดี น้ำจิ้มเขาก็อร่อย แต่เสียดายให้น้อยไป ขอเพิ่มไม่ได้ด้วย >_< ขอเพิ่มต้องซื้อ

วิวบริเวณชายหาดของร้านนี้ด้านขวา

วิวด้านซ้าย

จากนั้นก็มุ่งหน้ามาที่หัวหิน  Check in เข้าที่่พัก เราพักกันที่ สยามบีชรีสอร์ทหัวหิน ที่ได้รีวิวไว้แล้วที่ ที่พัก สยามบีชรีสอร์ทหัวหิน Siam Beach Resort Huahin

อากาศมืดครึ้มตลอด บ่ายนี้มีกิจกรรมสันทนาการ เชื่อมความสัมพันธ์ ที่ชายหาด ทีแรกคิดว่าฝนจะตก เพราะดูจากสภาพไม่น่ารอด แต่ก็แค่ตกนิดหน่อย ได้ทำกิจกรรมจนเสร็จพอดี โชคดีมาก

ทะเลยามท้องฟ้ามืดครึ้มเพราะลมฝน

ฟ้าไม่เปิด มืดไปหมดทุกด้าน

หลังจากทำกิจกรรมเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัว ออกไปทานข้าวเย็นกันที่ร้านบ้านอิสระ ร้านนี้ไม่ให้โทรจองโต๊ะ ปรากฏว่าตอนไปฝนตก ที่นั่งในร่มเต็ม พนักงานบอกต้องรออีกนานไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง พูดแบบไม่เหลือความหวังให้ลูกค้า จะจองโต๊ะไว้ก่อนก็ไม่ได้ คงกลัวจองแล้วจะไม่มา ตอนนั้นรู้สึกเหมือนร้านนี้เขาไม่ง้อลูกค้าเลยจริงๆ  มื้อนี้ก็เลย บายๆ กับร้านนี้ไปก่อน

สรุป มื้อนี้ก็ตามอิสระ ไปเดินเล่นที่ตลาดโต้รุ่งหัวหินกันต่อ

เห็นขนมร้านนี้แล้วยั่วใจมากๆ เลยจัดไป 2 ถ้วย อร่อยชื่นใจ ^_^

เป็นตลาดกลางคืน เหมือนถนนคนเดิน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอาหาร แบบตลาดโต้รุ่ง มีของที่ระลึกต่างๆ ขายเหมือนถนนคนเดิน อาจจะเป็นเพราะเราไปวันธรรมดานักท่องเที่ยวเลยมีฝรั่งเป็นส่วนใหญ่

อาหารทะเลก็มีอยู่หลายร้าน

ร้านข้าวโพดสี่พี่น้อง อร่อยดีเหมือนกัน

โรตี มื้อนี้เน้นของหวาน >_< จะไม่อ้วนได้ไงเนี่ย

  เดินๆ เล่นก็ไม่ได้ซื้ออะไรนอกจากของกินเล็กๆ น้อยๆ เพราะราคาแพงสมกับเป็นเมืองท่องเที่ยว

ร้านอาหารซีฟู้ดร้านนี้เก๋ไก๋ดีทีเดียว ชื่อร้านรถไฟซีฟู้ด Rodfai Seafood คนที่เข้าส่วนใหญ่จะเป็นฝรั่ง ราคาคงน่าจะแพงอยู่

จากขนมหวาน ก็มาต่อด้วยข้าวที่ร้านโกทิ ร้านข้าวต้มเก่าแก่ อยู่ตรงข้ามกับตลาดโต้รุ่ง สั่งเยอะกว่านี้แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา รสชาติก็เหมือนตามร้านข้าวต้มทั่วไป แต่ราคาแพงกว่าร้านข้าวต้มทั่วไป

กลับมาที่พักแยกย้ายกันไปพักผ่อน ตอนหน้าเรามีโปรแกรมต่างๆ อีก คือ ประชุมสัมมนา ไปสถานีรถไฟหัวหิน เพลินวาน พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ติดตามชมตอนต่อไปนะคะ >> พาเที่ยว สัมมนาฮาเฮริมทะเลหัวหิน เยือนถิ่นเพลินวาน(2)

ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม Blog ของ bombik แล้วแวะมาอีกนะคะ ^_^

1 comment on "พาเที่ยว สัมมนาฮาเฮริมทะเลหัวหิน เยือนถิ่นเพลินวาน(1)"

Anonymous's picture
Anonymous (visitor) said on Fri, 09/21/2012 - 05:48:

ร้านรถไฟไม่แพงค่ะ บริการดีมากค่ะ อร่อยด้วย

Powered by Drupal, an open source content management system

Copyright © 2009 bombik - Theme ported to Drupal by kong
CSS Templates by Inf Design - Valid XHTML & CSS