เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น1 : ไปแล้วก็อยากจะไปอีก

Trip ญี่ปุ่นนี้ ดองไว้นานเลย เพราะช่วงนี้ยุ่งๆ เลยไม่ค่อยได้มารีวิวอะไรเท่าไหร่ ถ่ายรูปมาเยอะพอสมควร แล้วจะค่อยๆ ทะยอยรีวิวเป็นตอนๆ นะคะ ^_^

จากโพสก่อน เตรียมตัวไปญี่ปุ่น : ขอวีซ่า แลกเงินเยน เตรียมเสื้อผ้า ก่อนที่จะโพสพาเที่ยว ในที่สถานที่ต่างๆ ที่ไป จากที่ได้ไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นมา 3 คืน 4 วัน ซึ่งเป็นการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก อะไรๆ มันก็ดูตื่นเต้นไปหมด:D ก็เลยอยากจะมาเล่าประสบการณ์และสิ่งต่างๆ ที่ได้เจอให้ฟังก่อน อย่างที่บอกว่าเป็นครั้งแรกที่ไป ข้อมูลอาจจะไม่ปึ้กเท่าไหร่ เอาเป็นว่าจะขอเล่าในความคิดและมุมมองของเราเอง ตามที่เรารู้มาหรือที่เราพบเจอมานะคะ

การแต่งตัวในญี่ปุ่นช่วงเดือนตุลาคม

เราไปช่วงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาว และยังมีฝนตกอยู่ เข้าไปดูอุณหภูมิก็ 10 - 20 องศา ก็จินตนาการไม่ออกว่ามันจะหนาวขนาดไหน เพราะถ้าเป็นที่เมืองไทย อุณภูมิ 10 กว่าก็ถือว่าหนาวแล้ว สิ่งที่กังวลคือ เรื่องการเตรียมเสื้อผ้า ตอนเหยียบสนามบินนาริตะ อุณหภูมิประมาณ 10 กว่าองศา ซึ่งไม่หนาวเลย อากาศกำลังเย็นสบายมากๆ (คิดไปเองว่า ตอนที่ไทยอุณภูมิเท่านี้ เหมือนจะหนาวกว่าที่นั่น) แค่ใส่เสื้อแขนยาวหรือใส่แขนสั้นธรรมดา ก็ยังพออยู่ได้ อาจจะพกเสื้อคลุมบางๆ ไปไว้เพื่อใส่คลุมก็ได้ เสื้อผ้าที่เราเตรียมไปก็เป็นเสื้อตัวยาวและใส่ถุงน่องหรือเลกกิ้งไว้ด้านใน รองเท้าบูธ เอารองเท้าไป 2 คู่ อีกคู่ก็เป็นหุ้มส้นสีดำเตี้ยๆ ธรรมดาๆ อ้อ! รองเท้าเน้นใส่สบายๆ เดินได้นานๆ ไม่งั้นเที่ยวไม่สนุก เพราะต้องเดินเยอะเหมือนกัน เสื้อผ้าที่เอาไปก็โทนดำ น้ำตาล หมวก ช่วงนี้คงไม่ถึงกับต้องเอาถุงมือไป แต่ถ้าขึ้นไปบนฟูจิจะหนาวหน่อย อาจจะต้องใช้ถุงมือ แล้วอย่าลืมพกร่มไปด้วยเพราะช่วงนี้ยังมีฝนตกอยู่ แหล่งซื้อเสื้อผ้า ก็นี่เลย แพทตินัมประตูน้ำ มีทุกอย่างที่เราต้องการ

เรื่องการแต่งตัว เท่าที่สังเกตคนที่นั่นก็เริ่มใส่แขนยาว และสาวๆ ก็ใส่บูธกันเป็นส่วนใหญ่ทั้งบูธสั้น-ยาว แลกกิ้ง ถุงน่องหนา ส่วนการแต่งตัวของสาวๆ ไม่มีใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ หรือกางเกงยีนส์กับเสื้อโปโลให้เห็น หรือถ้ามีจริงๆ จะมีอย่างอื่นมาประกอบ การแต่งตัวจะมีหลายชิ้น มองไปทางไหนก็จะมีแต่คนใส่เสื้อผ้าโทนเทา ดำ หรือสีออกทึมๆ คนทำงานผู้ชายก็ใส่สูทดำแทบจะเหมือนกัน ดูแล้วเหมือนเครื่องแบบของคนทำงาน

เสื้อผ้าที่ขายอยู่ที่ญี่ปุ่น โดยเฉพาะเสื้อผ้าของสาวๆ แบบชุดที่ใส่ช่วงหน้าหนาวน่ารักมาก ในไทยไม่ค่อยมีให้เห็น อาจเพราะว่าเราเป็นเมืองร้อน ถ้าใครอยากได้เครื่องแต่งตัวที่สวยๆ น่ารักๆ มีงบมากหน่อย ไม่ต้องเตรียมเสื้อผ้าไปมาก ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่ญี่ปุ่นใส่ ^_^

เวลาที่เตรียมของไปจากไทย บางอย่างอาจจะเก่าไป หรือไม่เคยถูกความเย็นมากๆ เช่น รองเท้าหนัง เสื้อคลุมบางชนิด เมื่อถูกความเย็นมันจะแตก กรอบ หรือหลุดออกมา

เกริ่นเรื่องเสื้อผ้าไปนิดหน่อย มาเริ่มเล่าเรื่องกันดีกว่า จากไทยบินไปญี่ปุ่น ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง เวลาที่ญี่ปุ่นเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง เราบินประมาณสี่ทุ่มไปถึงสนามบินนาริตะประมาณ 6 โมงเช้า(ตีสี่ของไทย) จริงๆ แทบจะไม่ได้นอนเท่าไร พอใกล้ถึงสักประมาณชั่วโมงครึ่งก็ทานข้าวเช้าบนเครื่อง เครื่องลง ล้างหน้าแปรงฟันที่สนามบิน หรือบนเครื่อง จากนั้นก็เดินทางออกไปเที่ยวกันเลย ส่วนใหญ่ถ้าซื้อทัวร์เวลาเดินทางก็จะประมาณนี้ เพราะจะได้เที่ยวได้ทันที 1 วันเต็มๆ 

ประเทศญี่ปุ่นมีประชากรเป็นอันดับ 11 ของโลก มากกว่าประเทศไทยเกือบเท่าตัว และมีพื้นที่น้อยกว่าประเทศไทยเกือบเท่าตัวเหมือนกัน เท่าที่มองลงมาจากบนเครื่องและที่เดินทางไปเที่ยวในที่ต่างๆ ที่ญี่ปุ่นมีป่าไม้และต้นไม้เยอะเหมือนกัน ภูเขาที่นั่นจะเขียวฉอุ่มไปด้วยต้นไม้ ยกเว้นยอดภูเขาไฟ

ถนนในโตเกียวและและรอบๆ ไม่กว้างเป็นถนนเล็กๆ พอรถวิ่ง และ รถส่วนบุคคลส่วนใหญ่ก็เป็นรถเล็กๆ น่ารักๆ และมีรถที่วิ่งตามท้องถนนไม่มากเหมือนในกรุงเทพ อาจจะเป็นเพราะว่าข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ถ้าใครไม่มีพื้นที่ไว้จอดรถ ก็จะไม่สามารถซื้อรถมาขับได้ จะไม่มีรถที่ไม่มีที่จอดมาจอดไว้ตามข้างทางเหมือนบ้านเรา ส่วนรถมอร์เตอร์ไซค์ที่นั่น ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตมอร์เตอร์ไซค์หลายๆ ยี่ห้อ แต่ไปที่นั่นกลับไม่พบเห็นมอร์เตอร์ไซค์ที่ขายอยู่ตามบ้านเราเลย มอเตอร์ไซค์ที่เห็นเขาใช้ๆ กันอยู่ จะเป็นมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ คนขับใส่ชุดเต็มยศก่อนออกเดินทาง อ้อ! เท่าที่สังเกตส่วนใหญ่คนขับรถโดยสารหรือคนขับแท็กซี่ เป็นคนวัยประมาณหลังเกษียณ

ถนนหนทางที่ญี่ปุ่นสะอาดมาก ตามข้างทางไม่มีขยะให้เห็น

เท่าที่สังเกต คนที่นี่เคารพกฏจราจรกันมาก เมื่อสัญญาณจราจรเป็นไฟแดง แม้จะไม่มีทางใดมาเลย รถเลยก็จอดอยู่รอจนไฟเขียว(มันก็ควรจะเป็นแบบนี้) ถึงแม้ว่ารถจะติดแค่ไหน เลนขวาว่าง ก็ไม่มีรถคันไหนที่จะแซงขวาออกไปเลย ยังคงขยับตามๆ กันไปจนถึงที่หมาย ซึ่งติดอยู่นานเป็นชั่วโมง >_<

ถึงแม้ว่าจะชอบอาหารญี่ปุ่น ไปญี่ปุ่นได้ไม่กี่วันก็คิดถึงอาหารไทย จึงได้รู้ว่า "อาหารไทยนี่แหละ อร่อยที่สุดในโลก" อาหารญี่ปุ่นจะเน้นไปที่รสเค็มเป็นส่วนใหญ่ ไม่แซ่บครบรสอย่างอาหารไทย แต่ต้องยอมรับเรื่องการจัดวาง รูปลักษณ์ของอาหารน่าทานมาก

ไอศครีม(ต่อไปขอเรียกว่าไอติมนะคะ)มีขายอยู่ตามที่เที่ยวเกือบทุกที่ เหมือนเขานิยมทานไอติมกัน หนาวแค่ไหนก็ทาน ขนาดคนแก่ๆ อายุประมาณหลังเกษียณ ยังซื้อไอติมมานั่งทานกันเลย

ประเทศนี้เหมือนเป็นที่เที่ยวที่คนไทยไปเยอะ ไปตามที่เที่ยวต่างๆ คนขายจะพูดภาษาไทยได้(คงเหมือนกับคนขายของตามแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา)นิดหน่อยอย่าง "อร่อยนะคะ ชิมไหมคะ" และไปที่ไหนก็จะเจอคนไทยตลอด ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ช่วงวันหยุดยาว โปรแกรมทัวร์แต่ละทัวร์คงคล้ายๆ กันก็เลยเจอกัน สังเกตว่าเวลาคนไทยรอกัน มักจะนั่งบนฟุตบาท >_<

พูดถึงค่าใช้จ่ายในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่มีค่าครองชีพสูงมาก สกุลเงินที่ใช้เป็นเงินเยน 1 เยนก็ประมาณ 0.37 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน) เปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ น้ำ 1 ขวดราคาขวดที่ถูกสุดที่เลือกมาก็ 110 เยน ขวดนี้ซื้อที่สนามบิน ก็ประมาณ 40 บาท >_< เบียร์ที่นี่จะราคาถูกกว่าน้ำเปล่าเบียร์กระป๋องละไม่ถึง 100 เยน มีเบียร์แบบไม่มีแอลกอฮอล์ขายด้วย

อย่างที่บอกว่า ในโตเกียวมีประชากรอาศัยอยู่เยอะมาก แต่ตอนกลางวันดูเหมือนว่าคนจะน้อย เงียบมาก ไม่ค่อยเห็นมีใครออกมาเดินตามท้องถนน คิดเอาเองว่าเขาทำงานกันจริงจัง ตามห้างหรือตามสถานีรถไฟ ช่วงกลางวันจะเห็นแต่แม่บ้านที่มีลูกอ่อน ที่พาลูกออกมาซื้อของ คนญี่ปุ่นเป็นคนมีน้ำใจ อัธยาศัยดี มีวินัยมากๆ ตรงต่อเวลา อ้อ! เวลาขึ้นบันไดเลื่อน หรืออื่นๆ ทุกคนจะยืนชิดซ้ายกันเสมอ

ตอนเย็นตามท้องถนน และตามห้างร้านต่างๆ คนจะเยอะมาก คึกคักมากในช่วงเลิกงาน

ใช้พื้นที่ในเมืองได้คุ้มมากๆ

แหล่งท่องเที่ยวจะเป็นย่านๆ เช่น ย่านวันรุ่น ย่านวัยทำงาน ย่านไฮโซ เราไปเดินกันย่านชินจูกุ เป็นย่านวัยรุ่นวัยทำงานอะไรประมาณนั้น

 

ตามแหล่ง Shopping จะมี adult Goods ตั้งอยู่อย่างเปิดเผย เหมือนเป็นร้านค้าตามปกติทั่วๆ ไป สังเกตหน้าร้านนี้นะ เปิดเพลงโจอี้บอยด้วยอ่ะ

ตึกและอาคารในญี่ปุ่นดูเรียบๆ มีไม่กี่สี ดูเป็นแท่งๆ กล่องๆ เป็นระเบียบมาก ไม่มีสายไฟระโยงระยางหรืออะไรห้อยให้เกะกะ

เท่าที่ไปพักมา 3 โรงแรม โรงแรมที่นี่จะคล้ายๆ กัน ห้องไม่ใหญ่มาก คงเพราะมีพื้นที่จำกัด ที่ไม่ชอบอย่างหนึ่งของที่ญี่ปุ่น คือ ห้องในห้องโรงแรมจะเหม็นกลิ่นบุหรี่มาก ตามที่ต่างๆ จะมีที่ให้สูบบุหรี่เป็นที่ย่านชุมชนด้วย เป็นข้อเสียอย่างหนึ่งที่ไม่ชอบเลยจริงๆ บางโรงแรมจะมีออนเซ็น คือการแช่น้ำแร่ร้อน เวลาที่ลงก็ต้องเปลื้องผ้าออกหมดแล้วลงไปแช่ เป็นบ่อรวม แต่แยกหญิงชายนะคะ >_<

ชาเขียวแบบชงมีไว้ให้ในห้องในโรงแรมทุกที่ ชาเขียวเป็นสิ่งที่คนญี่ปุุ่นกินกันประจำ ขนมหรือเครื่องดื่มอื่นๆ ก็มักจะมีส่วนผสมของชาเขียวด้วย

ไปญี่ปุ่นจะเห็นเสาประตูแบบนี้ ก่อนเข้าศาลเจ้า ไม่ว่าจะศาลเจ้าเล็กหรือใหญ่จะมีเสาแบบนี้ทุกที่

ภูเขาไฟฟูจิที่เราเห็นๆ กันที่มีสีขาวอยู่ด้านบน ถ้าไปช่วงนี้(เดือนตุลาคม) จะยังไม่เห็นหิมะนะคะ ฟูจิก็จะเลยดูโล้นๆ แบบที่เห็น

ช่วงนี้ในไม้เริ่มเปลี่ยนสี ถ้าโชคดีใบไม้เปลี่ยนสีเร็ว ก็จะได้เห็นใบไม้เหลือง ใบไม้ส้ม และสีแดง

สรุป แล้วมีหลายอย่างที่ประทับใจ บางอย่างอาจจะนึกไม่ออกที่จะเอามาเล่าในตอนนี้ ไว้รีวิวที่เที่ยวแต่ละที่จะเล่าให้ละเอียด(ตามที่รู้)อีกครั้ง มีคนบอกว่า "ถ้าได้ไปญี่ปุ่นครั้งหนึ่งแล้ว จะอยากไปอีก" ตอนนี้เห็นด้วยกับคำพูดนี้ที่สุด เพราะไปแล้วก็อยากจะกลับไปอีกครั้ง ญี่ปุ่นมีเสน่ห์ ^_^

ตอนต่อไปจะมาเล่าเรื่องห้องน้ำในประเทศญี่ปุ่นค่ะ ติดตามชมนะคะ

ขอบคุณที่มาเยี่ยมชม Blog ของ bombik ค่ะ แล้วแวะมาอีกนะคะ ^_^
ปล ถ้าต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของ bombik.com ใน Facebook ก็คลิกที่ไอคอนด้านขวาบนของ Blog นะคะ จะพยายาม Up ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ค่ะ

 

4 comments on "เล่าเรื่องเมืองญี่ปุ่น1 : ไปแล้วก็อยากจะไปอีก"

Sumana's picture
Sumana (visitor) said on Fri, 11/19/2010 - 11:48:

ไปคราวนี้ ถ่ายรูปด้วยกล้องตัวไหนคะ

bombik's picture
bombik said on Sat, 11/20/2010 - 00:07:

เอากล้องไป 2 ตัว เป็นคอมแพคตัวเล็กๆ ทั้งคู่ ตัวนึงเป็น Canon PowerShot A710
แต่ภาพส่วนใหญ่ถ่ายจาก Sony Cyber-Shot DSC TX5 ตัวนี้ค่ะ

ภาพกล้องจาก Sony

Sumana's picture
Sumana (visitor) said on Mon, 11/22/2010 - 08:18:

ภาพสวยค่ะ ชอบๆ ลงรูปเยอะๆ นะคะ

Love2korea's picture
Love2korea (visitor) said on Thu, 01/26/2012 - 12:00:

เห็นแล้วอยากไปมากๆๆ

ญี่ปุ่นดูคนละระดับกับเกาหลีเลยอ่ะครับ เกาหลีไม่ค่อยมีอะไรเลย

Powered by Drupal, an open source content management system

Copyright © 2009 bombik - Theme ported to Drupal by kong
CSS Templates by Inf Design - Valid XHTML & CSS